ในวันที่อ่อนล้า แต่ไม่ได้เดินเข้าป่า
Disclaimer: บทความนี้เขียนในวันที่ (25 พ.ค. 66) สมองและจิตใจยังไม่ปกติเท่าไหร่ ไม่ค่อยเป็น Structure และไม่มีสาระด้านวิชาการใดๆ แค่รู้สึกว่าต้องเขียนอะไรออกมา ไม่งั้นมันจะอัดอั้นเกินไป เพราะเอาแต่คิดวนๆ คิดซ้ำๆ สติแตกกระเจิง
การยอมรับตัวเองให้ได้ ในวันที่ “ไม่ไหว” ก็บอก “ไม่ไหว” (24 พ.ค. 66)
ไม่บ่อยหรอกนะ ที่คนอย่างเราจะพูดคำว่า “ไม่ไหว” กับคนอื่น แทบจะในทุกเรื่องของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการทำงาน แต่มันก็มีบางวันที่สุดจะต้านทานแล้วเหมือนกัน
นิสัย (และสันดาน) เป็นคนที่ชอบเอาชนะ รู้สึกว่า ต้องทำให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะทำมันให้ได้ จะมีกี่ปัญหาก็ต้องผ่านมันไปให้ได้
เป็นคนที่อยากทำอะไรออกมาให้ดีที่สุด อาจจะเรียกว่ามนุษย์ Perfectionist ก็ได้ ก็เลยต้องอยู่กับการ Fail ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของตัวเอง
พอมีกำแพงหนึ่งตั้งขึ้นมา อยากข้ามไปให้ได้ แต่ก็ไม่ถึงซักที ก็จะรู้สึกเป็นซึมอยู่นาน ล่าสุดที่เจอ ก็น่าจะสามสี่เดือนได้ ก่อนที่จะหลุดพ้นจากความคิดนั้นของตัวเองที่ตั้งเอาไว้
พอผ่านจุดนั้นมาได้ กราฟอารมณ์ก็จะ Stable อยู่พักหนึ่ง
จนกระทั่งเจออะไรบางอย่างมากระทบกระแทกหู ตา เข้าสมอง และสะเทือนเข้าจิตใจ
สิ่งที่เคยคิดว่าตัวเองทำได้ดี ก็ให้ความรู้สึกว่า นี่ยังดีไม่พอ
ถึงแม้ว่าเทียบกลับไปเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว ทำได้ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยพอ
กราฟอารมณ์ช่วงนี้ ก็อาจจะเหมือนกราฟหุ้นที่ตกไม่หยุด จนแดงเถือกไปหมดแล้ว ทั้งพอร์ตเงินลงทุนและสภาพจิตใจตัวเอง หรือบางครั้งก็นึกถึงภาพ คลื่นทะเล (เป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยนะ) ที่บางทีก็สงบ บางทีก็ขึ้นๆ ลงๆ และบางทีมันก็กลายเป็นสึนามิ กวาดล้างทุกอย่างไปหมดสิ้น
มีหลายครั้งที่เกิดความคิดว่า ควรไปต่อ หรือ พอแค่นี้
และจริงๆ แล้ว ฉันอยากทำอะไรกันแน่นะ?
“กดดันตัวเองมากไปหรือเปล่า”
ก็ใช่แหละ การกดดันมันเกิดได้จากปัจจัยภายนอก และภายใน รู้ทั้งรู้ว่าปัจจัยภายนอกควบคุมไม่ได้ แต่พอกระทบเข้ามา ก็ไขว้เขวทุกที แล้วก็พาลล้มกันไปหมด เป็นโดมิโน่
“เรียนรู้จากความผิดพลาด”
ถ้าในวงการ Startup ก็จะมีคำพูดว่า “fail fast learn fast” ยิ่งเร็วเท่าไร ต้องยอมรับว่าโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดก็มีได้ง่ายเช่นกัน แม้ว่าข้อดีของความผิดพลาดล้มเหลว จะทำให้เกิดกระบวนการ “learning” แต่การจะข้ามผ่านความ fail ไปสู่ learn ได้นี่ทรมานน่าดูเหมือนกันนะ
ถ้าเทียบกับการเดินป่าเดินเขา ก็อาจจะเป็นช่วงหลงทางอยู่ ที่เดินขึ้นเดินลงเขากี่ลูก เหนื่อยแทบตาย ก็ไม่เห็นเป้าหมายซักที และไม่รู้ว่าจะมีวันไปถึงด้วยไหม
บางทีชีวิตก็คือการตั้งสมมติฐานอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเลือกเดินทางนี้ มันก็น่าจะได้ผลแบบนี้ แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่า สมมติฐานที่เราตั้งไว้มันใช่หรือไม่ เมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา ซึ่งมันอาจจะดี หรือมันอาจจะแย่ก็ได้
ว่าแต่… เป้าหมายของเราตอนนี้คืออะไรกันแน่?
หลักยึดในการทำงาน หลักยึดในการใช้ชีวิตของเราคืออะไร?
ตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน
“นิ่งแล้วฟัง”
อยากเป็นคนที่เติบโตไปเรื่อยๆ อยากเป็นต้นไม้ที่เติบใหญ่ การได้รับ Feedback คือสิ่งที่ช่วยเร่งการเติบโต แต่ต้นไม้บางต้น ก็ไม่ได้เติบโตด้วยการถูกรดด้วยน้ำร้อน
กว่าจะไปถึงขั้นสกัดสาระที่อยู่ใน Feedback ออกมาได้ โดยตัดน้ำเสียง อารมณ์ที่ผู้พูดส่งมา คงต้องใช้เวลามากกว่านี้
อยากได้อะไร บอกกันชัดๆ ว่าต้องการอะไร 1-2-3-4 Checklist มาก็ได้ ไม่งั้นก็ทำตัวไม่ถูก การเห็นภาพไม่ตรงกัน มี Outline ไม่เหมือนกัน เมื่อสิ่งที่อยากได้ไม่เหมือนกัน ก็ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ก่อให้เกิด Risk ที่ต้องมานั่งแก้ในภายหลัง แทนที่เราจะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น
ไม่ได้อยากเป็นคนสร้างความเสียหาย การที่ต้องมีใครมาจัดการ Damage Control ให้ รู้สึกเป็นการสร้างภาระงานให้คนอื่น
ชอบเป็นคนแก้ปัญหา ไม่ใช่ให้คนอื่นมาแก้ปัญหา มาคอยซ่อมในสิ่งที่เราผิดพลาด… ใช่แหละ นี่ก็กดดันตัวเองในอีกรูปแบบหน่ึง
“ใจดีกับตัวเองบ้าง”
ไม่ได้มีความสามารถในการ Empathy ใครเท่าไหร่ ยิ่งกับตัวเอง ก็อาจจะน้อยมากเช่นกัน ความเข้าใจตัวเองช่วงนี้เหมือนมี มารขาว กับ มารดำ อยู่ในหัวและคอยตบตีกันตลอดเวลา
นึกถึงคลาสที่ไปเรียน พอทำแบบประเมินคร่าวๆ แล้วอาจารย์ผู้สอนบอกว่า
คนที่เป็น K, AD จะเกิดอาการ “ควรทำ” กับ “อยากทำ” จะตีกันบ่อย เป็นคนที่อยู่กับตัวเองค่อนข้างเยอะ
ถ้าชีวิตไม่มีปัญหา ไม่ต้องแก้อะไร ถ้าชีวิตมีปัญหา ค่อยเปิดรับข้างนอกเข้ามาบ้าง
ตอนนี้ชีวิตน่าจะเริ่มมีปัญหาบ้างแล้วล่ะ…
ความรู้สึกนึกคิดในสมองตอนนี้ เหมือนกับปมเชือกที่ยุ่งเหยิงพัวพันกันไปหมด พอแก้อันนี้ได้ ไปพันอีกปมหนึ่งอันต่อ ถ้าในชีวิตจริง คือเอากรรไกรตัดเชือกทิ้งไปแล้วนะ เป็นคนไม่มีความอดทนกับเรื่องแบบนี้ 55+
ในวันที่สับสน ยังหาทางออกไม่ได้ คงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน
เวลาทำงานเราต้อง Set Milestone โครงการ
ในชีวิตของตัวเอง หลายๆ เรื่องที่กำลังพิสูจน์ตัวเองอยู่ตอนนี้ ก็คงต้องมีวัน Due Date แล้วเช่นกัน
ถ้ามันหนักมาก ก็ต้องวางลง
อยู่ๆ เพลงนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว
แม้คนรอบข้างให้กำลังใจมากมายเท่าไหร่ (ขอบคุณค่ะ) สุดท้ายแล้ว คนที่จะ Recover ตัวเองให้ได้ ก็ต้องเป็นเราเอง
ทุกคนต่างก็มี Bad Day ด้วยกันทั้งนั้น แค่เราอาจจะไม่ค่อยเห็นใน Social Media เพราะทุกคนเลือกที่จะเก็บความรู้สึกที่ดี โชว์สิ่งที่มีความสุข พอมองย้อนกลับมาก็จะได้ระลึกถึงความทรงจำที่ดีเหล่านั้น
แต่บางครั้งการเก็บความเจ็บปวดและพ่ายแพ้เอาไว้บ้างมันก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป พอมองย้อนกลับมา จะได้จำได้ว่า เราผ่านอะไรมาบ้าง และเราเติบโตขึ้นมากแค่ไหน
แต่ตอนนี้ต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ก่อนนะ
ที่นั่งพิมพ์ๆ อยู่นี่ ก็คือการคุยกับตัวเองตอนนี้ กำลังปลอบใจตัวเองด้วยนั่นแหละ
หลังจากที่นั่งพิมพ์มาเรื่อยๆ ก็ทำให้ระลึกได้ว่า สำหรับเราเวลาเกิดปัญหาที่เกินจะจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกตัวเอง
- เริ่มจาก ไปนอนก่อน ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นแล้ว การนอนแค่คืนเดียว อาจจะไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่จิตใจจะสงบลงได้เยอะ
- หาคนที่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าพูดคุยด้วย บางทีการได้พูด ได้ระบายออกมาก็ช่วยได้แล้ว แม้จะยังไม่ได้รับข้อเสนอแนะอะไรเลยก็ตาม
- กิน ถึงแม้จะรู้สึกไม่อยากกิน อยากอ้วก ก็ต้องหาอะไรกิน อะไรก็ได้ที่ยังกินได้ อะไรที่ชอบ กินเข้าไป อย่างตอนนี้ก็กิน Salmon Sashimi อยู่
- ร้องไห้ไปเลย เต็มที่ ปลดปล่อยมันออกมา แม้จะเกิด Effect ตาบวมและหายใจไม่ออกตามมาก็ตาม
- ทำงาน ทำงาน ทำงาน ลดการฟุ้งซ่าน ถึงแม้สมองจะไม่ปลอดโปร่ง 100% ก็ทำไป
- อัดอั้นมากนัก คิดวนซ้ำๆ ย้ำๆ ไม่หยุด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ก็เขียนมันออกมา เหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ เขียนไป คุยกับตัวเองไปนี่แหละ
- อ่านหนังสือนิยาย (อันนี้ต้องอยู่ใน Condition ว่าไม่มีงานที่ต้องทำรออยู่ ไม่งั้นตอนอ่านก็จะคิดถึงเรื่องงานที่ค้างอยู่ดี) อย่าอ่านอะไรที่เกี่ยวกับการงาน หลุดไปโลกอื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ เรียกว่าเป็น Short-Term Solution
ซึ่งแต่ละคน ก็มีวิธีไม่เหมือนกัน ต้องหาวิธีของตัวเองให้เจอ
ถ้าตอนนี้คือการที่นกฟินิกซ์กำลังตัวลุกเป็นไฟ กำลังจะตาย ก็หวังว่า จะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ได้ในเร็ววัน