#priwreadarticles How to จัดการพลังงานให้มีมากพอในการเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน (Manage Your Energy)

Parima Spd
5 min readSep 5, 2023

--

สภาพแวดล้อมการทำงานในปัจจุบันที่เร่งรีบ วุ่นวาย ความต้องการในสถานที่ทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนจำนวนมากจึงตอบสนองโดยการเพิ่มชั่วโมงการทำงานให้นานขึ้น ส่งผลเสียต่อร่างกาย จิตใจ และอารมณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้นำไปสู่การมีส่วนร่วมที่ลดลง ระดับความว้าวุ่นใจที่เพิ่มขึ้น อัตราการลาออกที่สูงขึ้น ค่ารักษาพยาบาลในหมู่พนักงานที่สูงขึ้น รวมไปถึงภาวะหมดไฟ ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งองค์กรและพนักงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเรากำลังผลักดันตัวเองให้หนักขึ้นกว่าที่เคยเพื่อตามให้ทันอะไรบางอย่าง (ที่อาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร) และรู้สึกว่ากำลังจะถึงจุดแตกหักมากขึ้นเรื่อยๆ

ดูเหมือนว่าจะมีกิจกรรมให้ทำมากกว่าเวลาที่มีอยู่เสมอ แม้ว่าคุณจะรู้วิธีจัดการเวลา แต่ก็มักจะรู้สึกว่ายังไม่เพียงพออยู่ดี

การบริหารเวลาไม่ใช่วิธีเดียวในการจัดการงาน จะเป็นอย่างไรหากคุณต้องจัดการพลังงาน ไม่ใช่เวลา?

เพื่อเติมพลังให้กับพนักงาน องค์กรจำเป็นต้องลงทุนกับพวกเขามากขึ้น เพื่อให้พวกเขาได้รับแรงจูงใจในการนำตัวเองมาทำงานทุกวัน และเพื่อเติมพลังงานให้ตัวเอง แต่ละคนต้องตระหนักถึงพฤติกรรมที่ทำให้พลังงานหมดไป จากนั้นก็รับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านั้น

“ทุกความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของเราล้วนส่งผลต่อพลังงาน
ตัวชี้วัดสูงสุดในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่า เราใช้เวลาบนโลกนี้ไปมากเพียงใด
แต่วัดว่าเราทุ่มเทพลังงานไปมากเพียงใดในเวลาที่เรามี”

การจัดการพลังงานมีความสำคัญพอๆ กับการจัดการเวลา

แม้ว่าหลายคนมุ่งเน้นไปที่วิธีที่จะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่พวกเขามักละเลยความจริงที่ว่า ระดับพลังงานของตนเองส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและความเป็นอยู่โดยรวม

วิธีการจัดการเวลาแบบดั้งเดิม คือการแบ่งงานที่ต้องทำให้เสร็จ และกำหนดเวลาในการทำงานให้เสร็จ เช่น ตั้งเป้าหมายให้ตัวเองทำรายงานสามฉบับให้เสร็จภายในสองชั่วโมง แต่สิ่งที่วิธีนี้ไม่คำนึงถึงคือ พลังงานของคุณ

พนักงาน 52% รู้สึกเหนื่อยหน่าย และความหลงใหลในการบริหารจัดการเวลา อาจเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของความเหนื่อยหน่ายนี้

พลังงานเป็นทรัพยากรหมุนเวียน แต่ก็หมุนเวียนได้ถึงจุดหนึ่งเท่านั้น

การจัดเวลาว่างทุกนาทีเพื่อเพิ่มผลผลิต อาจดูเหมือนเป็นการใช้เวลาที่ดี แต่ก็ไม่ได้คำนึงถึงการเติมพลังงานคืนกลับสู่ตัวเอง

งานบางอย่างยังต้องใช้พลังงานมากกว่างานอื่นๆ งานที่ใช้พลังงานสูงและการทำงานหลายอย่างพร้อมกันไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพลังงานของคุณถูกกลืนกินไปโดยส่วนเกินของสิ่งต่างๆ ที่กำหนดไว้ในแต่ละวัน

เมื่อเวลาผ่านไป การขาดพลังงานอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง แม้ว่าจะมีเวลามากพอ ที่จะทำงานที่จำเป็นให้สำเร็จก็ตาม

ดร. ฟิลลิป ซี. แมคกรอว์ กล่าวไว้ว่า “ชีวิตคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น”

หากคุณเป็นนักวิ่งมาราธอน คุณจะฝึกโดยเริ่มจากระยะสั้นๆ ก่อน คุณจะตั้งเป้าหมายสำหรับตัวเอง รู้ขีดจำกัดของตัวเองและอย่าก้าวข้ามขีดจำกัด ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บหรือเหนื่อย คุณจะรู้ว่า เมื่อใดควรชะลอความเร็ว พักผ่อนและฟื้นตัว เมื่อใดควรเร่งความเร็ว คุณจะวิ่งเป็นช่วงๆ โดยพิจารณาจากพลังงานในจุดสูงสุดและการลดลงในแต่ละช่วง คุณจะฟังความคิด ร่างกายและจิตวิญญาณของคุณ หากพลังงานของคุณลดลง คุณจะเดินช้าลง หรือหยุดเดิน เพื่อยืดเส้นยืดสาย พัก และเติมพลัง คุณจะรู้วิธีการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยการทำความเข้าใจและจัดการพลังงานของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มสมาธิ และรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีได้

1. รู้จักพลังงานประเภทต่างๆ

พลังงานหมายถึงความแข็งแกร่งและความมีชีวิตชีวาที่จำเป็นสำหรับกิจกรรมทางร่างกายหรือจิตใจที่ยั่งยืน “งาน” มักจะจัดอยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือทั้งสองประเภท ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอาชีพอะไร

พลังงานอยู่ในรูปแบบต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องรับรู้ และมีวิธีจัดการในแต่ละรูปแบบ

  • พลังงานทางกายภาพ หมายถึงความเป็นอยู่ทางกายภาพโดยรวม รวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อรักษาระดับพลังงานทางกายภาพให้อยู่ในระดับสูง
  • พลังงานทางจิต ก็เกี่ยวข้องกับความสามารถในการรับรู้และความเป็นอยู่ที่ดีของจิตใจ มันเกี่ยวข้องกับแง่มุมต่างๆ เช่น สมาธิ การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มพลังงานทางจิต ให้มีช่วงเวลาหยุดพักในแต่ละวัน ฝึกสติหรือทำสมาธิ และทำกิจกรรมที่กระตุ้นจิตใจ เช่น อ่านหนังสือหรือไขปริศนา ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์
  • พลังงานทางอารมณ์ หมายถึงความเป็นอยู่ที่ดี ความยืดหยุ่นทางอารมณ์เกี่ยวข้องกับการจัดการความเครียด การปลูกฝังอารมณ์เชิงบวก และการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อเพิ่มพลังงานทางอารมณ์ ให้ฝึกเทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การหายใจเข้าลึกๆ หรือจดบันทึก อยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงานที่คอยสนับสนุน ใช้เวลากับคนที่รัก อยู่กับกิจกรรมที่ทำให้คุณมีความสุข

บ่อยครั้งที่คุณตั้งใจจะหยุดพัก แต่คุณกลับจมอยู่ใต้เส้นตายกองโต การประชุมที่เร่งด่วน สิ่งที่ต้องทำมากเกินไป ความกดดันมากเกินไปในการบรรลุเป้าหมายและบรรลุผลสำเร็จทั้งหมด ชีวิตที่ถูกกระตุ้นมากเกินไปไม่ได้ช่วยให้ใครได้ดีเลย ทั้งตัวคุณเองและคนรอบตัว คุณสามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยหน่าย คุณสามารถเช็ครายการสิ่งที่ต้องทำ และพักเพื่อเติมพลังงานได้ตลอดทั้งวัน

มีการศึกษาชิ้นหนึ่ง มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างระดับพลังงานในสี่องค์ประกอบ ได้แก่ จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ และอารมณ์ พวกเขาพบว่า

  • ผู้เข้าร่วม 68% มีผลกระทบเชิงบวกต่อความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • อีก 71% เห็นผลเชิงบวกที่เห็นได้ชัดเจน หรือสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน หลายคนมีผลงานเหนือกว่าเพื่อนร่วมงานในด้านการขายและรายได้ และยังคงทำเช่นนั้นต่อไปเป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากจบโปรแกรม

พวกเขาสรุปว่า การจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้มีขีดความสามารถมากขึ้น ทำงานได้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง มีระดับการมีส่วนร่วมที่สูงขึ้น และมีความยั่งยืนในระยะยาว การค้นพบนี้ ช่วยยืนยันหลักฐานเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่มีคนรวบรวมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแนวทางนี้ในหมู่ผู้นำในบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ เช่น Ernst & Young, Sony, Deutsche Bank, Nokia, ING Direct, Ford และ MasterCard

2. ระบุกิจกรรมที่ดูดพลัง (ชีวิต) งานของคุณ

ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นเหมือนแบตเตอรี่ พวกมันจะอยู่ได้เป็นเวลานานก่อนที่จะต้องพักผ่อน ฟื้นฟู และชาร์จพลังให้กลับคืนมา

งานบางอย่างทำให้พลังงานหมดเร็วกว่างานอื่นๆ

งานที่หัวใจของคุณไม่หมกมุ่น งานที่น่าเบื่อและซ้ำซาก มีแนวโน้มที่จะดูดพลังงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าและไม่มีประสิทธิภาพ การระบุกิจกรรมที่สิ้นเปลืองพลังงานเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ ค้นหาวิธีที่จะลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด

การทำงานหลายอย่างพร้อมกันมากเกินไป

อาจทำให้พลังงานทั้งกายและใจหมดลง การเปลี่ยนความสนใจชั่วคราวจากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านเวลาที่สูงมาก ให้ลองมุ่งความสนใจไปที่งานทีละงานแทน โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การบล็อกเวลา หรือเทคนิค Pomodoro (เทคนิคการจัดการเวลา คิดค้นโดย Francesco Cirillo หั่นเวลาทำงานออกเป็น 25 นาที และพัก 5 นาที) เพื่อเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการทำงานของคุณ รวมถึงการปิดเสียงการเตือนของโทรศัพท์ในขณะที่กำลังจดจ่อกับงานหรือเข้าประชุม

ความสัมพันธ์เชิงลบหรือเป็นพิษในที่ทำงาน

อาจทำให้พลังงานทางอารมณ์ของคุณหมดลง พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในวงล้อมของบุคคลที่คิดบวก คนที่ให้การสนับสนุนคุณ และกำหนดขอบเขตกับผู้ที่นำความคิดเชิงลบมาสู่สภาพแวดล้อมการทำงานของคุณ

นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมที่ทำให้พลังงานหมดอีก เช่น ความสนใจในความคิดเชิงลบ ปล่อยให้อัตตาและความภาคภูมิใจของคุณมาขัดขวางความสำเร็จของคุณ หรือขาดการควบคุมตนเองในการรักษาวิถีชีวิตให้สมดุลและมีสุขภาพดี

การควบคุมตนเอง

ความสำเร็จของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเริ่มต้นตอนแรกหรือเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เกิดจากความมุ่งมั่น ทำมันทุกวัน ทุกชั่วโมง และทุกนาที

หากคุณพบว่าระดับพลังงานของคุณลดลง ให้ฟังสิ่งที่ตัวคุณบอก จากนั้นดำเนินการใดๆ ก็ตามที่จิตใจ ร่างกาย จิตวิญญาณ หรืออารมณ์ของคุณต้องการและจำเป็น จากนั้นค่อยกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อพร้อม

3. มีกลยุทธ์ในการสร้างและส่งเสริมพลังงาน

เมื่อคุณระบุกิจกรรมที่ทำให้พลังงานของคุณหมดลงได้แล้ว ก็ถึงเวลารวบรวมกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มและรักษาระดับพลังงานของคุณ เทคนิคที่มีประสิทธิภาพบางประการมีดังนี้

จัดลำดับความสำคัญของการดูแลตัวเอง

จัดเวลาให้กับกิจกรรมที่เติมพลังและเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้กับคุณ เช่น การออกกำลังกาย งานอดิเรก หรือการใช้เวลาร่วมกับคนที่คุณรัก

การดูแลตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่จำเป็นสำหรับความเป็นอยู่โดยรวมของคุณ

ในการเข้าถึงพลังแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ เราจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญในสามหมวดหมู่นี้ เพราะมันจะช่วยให้ผู้คนก้าวไปสู่การบรรลุถึงความสอดคล้อง ความพึงพอใจ และความเป็นอยู่ที่ดีในชีวิต ทั้งในและนอกงานได้มากขึ้น

  • สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด และสนุกกับการทำมากที่สุด
  • จัดสรรเวลาและพลังงานให้กับแต่ละด้านของชีวิตอย่างมีสติ ทั้งการงาน ครอบครัว สุขภาพ การบริการผู้อื่น
  • การปฏิบัติตามค่านิยมหลักของคุณในพฤติกรรมประจำวัน ด้วยการตั้งคำถาม “คุณสมบัติใดที่คุณพบว่าน่ารังเกียจที่สุด เมื่อคุณเห็นสิ่งเหล่านั้นในผู้อื่น” ด้วยการอธิบายสิ่งที่รับไม่ได้ ผู้คนจะเปิดเผยสิ่งที่พวกเขายืนหยัดโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น หากคุณรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับความตระหนี่ ความมีน้ำใจอาจเป็นหนึ่งในค่านิยมหลักของคุณ หากคุณไม่ชอบความหยาบคายของผู้อื่น การคำนึงถึงผู้อื่นก็อาจเป็นค่านิยมสำหรับคุณ

ในแต่ละวัน พยายามทำบางสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขอย่างแท้จริง ตัวอย่างคำถาม เช่น

  • ถ้าคุณมีเวลาอยู่ได้หนึ่งปี คุณอยากจะใช้เวลาของคุณทำอะไร?
  • อะไรเป็นแรงบันดาลใจของคุณ?
  • คุณจะใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเต็มที่อย่างไร?
  • คุณจะจัดการพลังงานของคุณอย่างไร?
  • คุณจะหยุดพักมากขึ้นไหม?
  • ไปเดินเล่นอีกไหม?
  • การทำงานที่สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คุณมีสติมากขึ้นใช่ไหม?

ฝึกสติ

รวมเทคนิคการฝึกสติเข้ากับกิจวัตรประจำวันของคุณ เช่น การฝึกหายใจเข้าลึกๆ หรือพักสมาธิสั้นๆ การปฏิบัติเหล่านี้สามารถช่วยลดความเครียด เพิ่มสมาธิ และเพิ่มระดับพลังงานโดยรวมของคุณได้

เมื่อผู้คนสามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้มากขึ้น พวกเขาสามารถปรับปรุงคุณภาพพลังงานของตนเองได้ โดยไม่คำนึงถึงแรงกดดันภายนอกที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ในการทำเช่นนี้ได้ พวกเขาจะต้องตระหนักว่า พวกเขารู้สึกอย่างไร ณ จุดต่างๆ ในระหว่างวันทำงาน ผลกระทบของอารมณ์เหล่านี้มีผลต่อประสิทธิภาพของพวกเขาอย่างไร

เมื่อต้องเผชิญกับความต้องการอย่างไม่ลดละและความท้าทายที่ไม่คาดคิด ผู้คนมักจะเข้าสู่อารมณ์ด้านลบ โหมดต่อสู้หรือหนีหลายครั้งในหนึ่งวัน พวกเขาหงุดหงิดและไม่อดทน วิตกกังวลและไม่มั่นคง สภาวะจิตใจเช่นนี้จะระบายพลังงานของผู้คนออก และทำให้เกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ของพวกเขา

อารมณ์แบบสู้หรือหนี ทำให้ไม่สามารถคิดได้ชัดเจน ไม่มีเหตุผล ไม่สามารถไตร่ตรองได้ เมื่อเราเรียนรู้ที่จะรับรู้ว่าเหตุการณ์ประเภทใดที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์เชิงลบ เราจะมีความสามารถมากขึ้นในการควบคุมปฏิกิริยาของตนเอง

การหายใจเข้าช่องท้องลึกๆ การหายใจออกช้าๆ เป็นเวลาห้าหรือหกวินาที จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ฟื้นตัว และปิดโหมดการตอบสนองแบบสู้หรือหนี

หยุดพักเป็นประจำ

ปล่อยให้ตัวเองได้พักช่วงสั้นๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อพักผ่อนและเติมพลัง ลุกจากโต๊ะ ยืดเส้นยืดสาย หรือเดินเล่นสั้นๆ การหยุดพักเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันอาการเหนื่อยหน่าย และรักษาระดับพลังงานให้สม่ำเสมอตลอดทั้งวัน

  • สำหรับคนที่มีพลังงานสูง ให้พักบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเหนื่อยหน่าย และเฝ้าระวังว่า คุณใช้พลังงานไม่เกินขีดจำกัดพลังงานสูงสุดของคุณ
  • สำหรับผู้ที่ใช้พลังงานน้อย ให้ตั้งความคาดหวังขั้นต่ำสำหรับตัวคุณเองทุกวัน และตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณไม่ได้อยู่ต่ำกว่าความคาดหวังเหล่านั้น
  • สำหรับคนที่พลังผันผวนระหว่างพลังงานสูงและต่ำตลอดทั้งวัน ให้ระวังขีดจำกัดพลังงานทั้งด้านล่างและด้านบนของคุณ เมื่อมันแกว่งไปมา หยุดพัก ก่อนกลับมามีพลังในการทำงานอีกครั้ง

เมื่อคุณให้เวลาตัวเองได้พักผ่อน คุณจะเติมเต็มระดับพลังงาน และเมื่อคุณกลับมาทำงานก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังได้ปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดี ได้สัมผัสกับอารมณ์เชิงบวกมากขึ้นอีกด้วย

การพักผ่อนและการฟื้นตัวเป็นส่วนสำคัญของสมรรถภาพทางจิตที่ดี รักษาเวลาพักผ่อนและพักฟื้นเอาไว้เช่นเดียวกับการนัดหมายแพทย์

จงต่อต้านสิ่งล่อใจ ที่จะทำงานในช่วงเวลาพัก

ตั้งเป้าหมายที่สมจริง

หลีกเลี่ยงการทำให้ตัวเองมีภาระงานที่มากเกินไป ตั้งเป้าหมายที่สมจริงและจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน การแบ่งงานใหญ่ๆ ออกเป็นขั้นตอนย่อยๆ ที่สามารถจัดการได้ ช่วยรักษาแรงจูงใจและป้องกันไม่ให้รู้สึกหนักใจได้

หากคุณใช้เวลามากเกินไปและใช้พลังงานมากเกินไปทุกวัน ให้ค้นหาขีดจำกัดสูงสุดของคุณ กำหนดขอบเขตและยึดมั่นกับสิ่งเหล่านั้น เช่น ตั้งเป้าหมายที่คุณต้องการให้มีการประชุมไม่เกินห้าครั้งในแต่ละวัน และปล่อยให้ตัวเองไม่มีการประชุมหนึ่งวันต่อสัปดาห์ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความเหนื่อยหน่าย และอาจทำให้คุณมีความสุข มีส่วนร่วมมากขึ้นในระหว่างการประชุมแต่ละครั้ง

หรือหากคุณพยายามนั่งสมาธิมากขึ้น ให้ตั้งเป้าหมายที่คุณจะนั่งสมาธิไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละครั้งและไม่เกินวันละครั้ง

หรือถ้าคุณมีโปรเจ็กต์ที่อยากทำ ให้จัดสรรเวลาไว้อย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์สำหรับงานนี้และสูงสุดสองวัน

การตั้งเป้าหมายโดยมีข้อจำกัดด้านเวลาตามความเป็นจริง และกำหนดขอบเขตพลังงานของคุณ จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

4. ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานเชิงบวก

สภาพแวดล้อมในการทำงานมีบทบาทสำคัญในการรักษาระดับพลังงานและความเป็นอยู่โดยรวมของคุณ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานเชิงบวก คุณจำเป็นต้อง

ปลูกฝังอารมณ์และความสัมพันธ์เชิงบวก

สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนร่วมงาน สื่อสารแบบเปิดเผยจริงใจ สนับสนุนซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์เชิงบวกสามารถช่วยเพิ่มพลังทางอารมณ์และสร้างบรรยากาศการทำงานที่สนุกสนานยิ่งขึ้น

พิธีกรรมอันทรงพลังที่กระตุ้นอารมณ์เชิงบวกคือ การแสดงความขอบคุณต่อผู้อื่น ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ให้พอๆ กับผู้รับ โดยอาจอยู่ในรูปแบบของบันทึกย่อที่เขียนด้วยลายมือ อีเมล การโทร หรือการสนทนา ยิ่งมีรายละเอียดและเจาะจงมากเท่าไร ผลกระทบก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่ผู้คนสามารถเปลี่ยนเรื่องราวได้คือ การมองมันผ่านเลนส์สามเลนส์ ซึ่งเป็นทางเลือกในการมองโลกจากมุมมองของเหยื่อ เช่น

  • เมื่อใช้เลนส์ถอยหลัง ผู้คนจะถามตัวเองว่า “อีกฝ่ายในความขัดแย้งนี้ จะพูดอะไร และสิ่งนั้นอาจเป็นจริงในลักษณะใด”
  • พวกเขาถามด้วยเลนส์ยาวว่า “ฉันจะมองสถานการณ์นี้อย่างไรในหกเดือนข้างหน้า”
  • พวกเขาถามตัวเองเมื่อใช้เลนส์มุมกว้างว่า “ไม่ว่าผลลัพธ์ของปัญหานี้จะเป็นอย่างไร ฉันจะเติบโตและเรียนรู้จากปัญหานี้ได้อย่างไร”

เลนส์แต่ละชนิด สามารถช่วยให้ผู้คนปลูกฝังอารมณ์เชิงบวกได้มากขึ้น

สร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดี

ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี ตลอดจนรับรู้และให้รางวัลแก่ความสำเร็จ เมื่อพนักงานรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนและชื่นชม ระดับพลังงานและประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ

จัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ

ใช้โปรแกรมการจัดการความเครียด หรือความคิดริเริ่มที่ให้ทรัพยากรและเครื่องมือแก่พนักงานในการรับมือกับความเครียด ซึ่งอาจรวมถึงเวิร์กช็อป การฝึกอบรม หรือการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

คุณอยากจะเป็นที่จดจำในชีวิตการทำงานของคุณอย่างไร?

เป็นไปได้มากว่าคุณต้องการถูกจดจำในฐานะพนักงานที่คิดบวก มีความสุข และมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมักจะทำงานเสร็จตรงเวลา และยังมีพลังสำหรับช่วงเวลาแห่งสติตลอดทั้งวัน หากที่กล่าวมา ไม่ใช่คุณในตอนนี้ ลองถามตัวเองว่า อะไรที่ขัดขวางไม่ให้คุณทำสิ่งนั้น

5. พักสมองตามจังหวะ Ultradian Rhythms

“ชั่วโมงแห่งพลัง” ได้รับการตั้งชื่อตาม Ultradian Rhythms เป็นวัฏจักรธรรมชาติที่ร่างกายของเราเคลื่อนจากสภาวะพลังงานสูงไปสู่ระดับพลังงานต่ำ วงจรพลังงานเหล่านี้อยู่ในช่วง 90 ถึง 120 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

“Power Hour” มุ่งเน้นไปที่ช่วงพลังงานสูง

ในช่วงที่มีพลังงานสูง ให้มุ่งเน้นเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่เท่านั้น หลีกเลี่ยงการสลับงาน หรือตรวจสอบโทรศัพท์และอีเมลในช่วงเวลานี้ นี่เป็นพฤติกรรมที่ทำให้พลังงานหมด ซึ่งควรหลีกเลี่ยงในขณะที่คุณกำลังทำงานหรืออยู่ในการประชุม คุณจะตื่นเต้นที่ได้ค้นพบว่า คุณสามารถทำงานให้สำเร็จได้มากเพียงใดในระยะเวลาอันสั้น

ระยะเวลาที่คุณต้องการสำหรับงานที่หนักหน่วง ควรขึ้นอยู่กับพลังงานของคุณ จำไว้ว่า คุณต้องจัดการพลังงาน เพื่อให้มีพลังงานเหลือใช้ไปตลอดทั้งวัน

ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานขึ้น ไม่ได้หมายถึง การทำงานหนักที่ดีขึ้นเสมอไป

นอกจากนี้คุณควรแบ่งเวลาในแต่ละวันเพื่อทำงานภายในด้วย เมื่อเรานึกถึงงานโดยทั่วไป สิ่งที่เรากำลังนึกถึงคืองานภายนอก เช่น งานที่ต้องทำให้เสร็จ ในทางตรงกันข้าม งานภายในจะสำรวจโลกภายในและประสบการณ์ส่วนตัวของเรา

แม้ว่าจะต้องใช้พลังงาน แต่งานภายในก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจตัวเราเอง การเรียนรู้ตัวเราเองมากขึ้นช่วยให้เราจัดการระดับพลังงานได้ดีขึ้น

ถึงเวลาหยุดพัก เพื่อพักผ่อนและฟื้นฟู

เมื่อสิ้นสุดรอบ ร่างกายของคุณจะบอกให้คุณพักผ่อน คุณอาจเริ่มหาว หิวหรือกระหายน้ำ พยายามมีสมาธิ รู้สึกหงุดหงิด หรือรู้สึกอยากออกไปข้างนอกและหยุดพัก

คนส่วนใหญ่มักละทิ้งข้อความนี้จากร่างกายหรือจิตใจเพื่อทำงานให้สำเร็จ ผลที่ตามมาก็คือ แหล่งพลังงานซึ่งเป็นความสามารถที่เหลืออยู่ของเรา จะถูกเผาไหม้เมื่อเวลาผ่านไป ส่งผลให้คุณเหนื่อยหน่าย เหนื่อยล้า หงุดหงิด หรือผลิตงานคุณภาพต่ำ

ให้ใช้เวลาช่วงนี้ (ประมาณ 20 นาที ซึ่งระยะเวลามีความสำคัญน้อยกว่าการพักที่แท้จริง) ทำกิจกรรมใดๆ ที่ระบุไว้ข้างต้น เป็นได้ตั้งแต่การลุกขึ้นไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานในเรื่องอื่น การฟังเพลง การเดินขึ้นลงบันได ในเวลาเพียงไม่กี่นาที คุณสามารถผ่อนคลาย เติมพลังให้ตัวเอง และกลับมาทำสิ่งนั้นอีกครั้งด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่า เมื่อคุณพร้อมที่จะกลับมาทำงานอีกครั้ง ให้ตรวจสอบอีเมลและสิ่งอื่นๆ ที่คุณต้องการ ก่อนที่จะกลับไปสู่ “Power Hour” ครั้งถัดไป

Matthew Lang เป็นกรรมการผู้จัดการของ Sony ในแอฟริกาใต้ เขารับเอาพิธีกรรมบางอย่างแบบเดียวกับที่ Gary Faro, a vice president at Wachovia ทำ รวมถึงการเดินเล่น 20 นาทีในช่วงบ่าย การเดินของ Lang ไม่เพียงแต่ช่วยให้เขาได้พักทั้งจิตใจ อารมณ์ ได้ออกกำลังกาย แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่เขาได้รับความคิดสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดอีกด้วย นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อเขาเดิน เขาไม่ได้คิดอย่างแข็งขัน ซึ่งทำให้สมองซีกซ้ายที่ถนัดหลีกทางให้สมองซีกขวาที่มีความสามารถในการมองเห็นภาพใหญ่ และมีจินตนาการมากขึ้น

6. จดบันทึกระดับพลังงาน

ทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ระดับพลังงานนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน และในแต่ละวัน มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อปริมาณพลังงานที่คุณมี

เพื่อช่วยให้คุณจัดการพลังงานได้ดีขึ้นและทำงานได้มากขึ้น ให้จดบันทึกสิ่งที่ให้พลังงานและสิ่งที่ทำให้คุณหมดแรง ทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว เช่น

  • นอนหลับได้มากแค่ไหน
  • อาหารการกิน
  • ความถี่ของการพัก
  • ใครที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วย
  • การออกกำลังกาย (หรือขาดไป)
  • ประเภทของงานที่คุณทำ
  • คุณสามารถติดตามสิ่งที่ทำให้คุณมีอารมณ์ด้านลบได้เช่นกัน การจัดการอารมณ์เชิงลบอาจใช้พลังงานมากกว่าที่คิด

การเขียนบันทึก มีจุดประสงค์หลายประการ

ข้อแรก คุณจะตระหนักมากขึ้นว่า การบรรลุผลสำเร็จอะไรบางอย่างนั้นขึ้นอยู่กับว่าแต่ละวันของคุณเป็นอย่างไร สมมติว่าการทำงานเป็นทีมใช้พลังงานมากสำหรับคุณเมื่อเทียบกับงานเดี่ยว หลังจากอยู่ในทีมนานเกินไป คุณเริ่มมีปัญหาในการมีสมาธิ หากคุณมีงานหลายอย่างที่ต้องใช้การทำงานเป็นทีมในแต่ละวัน คุณจะต้องกำหนดเวลาพักให้มากขึ้น และทำงานเบาๆ สำหรับช่วงที่เหลือของวัน สิ่งนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าคุณจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างการทำงานเป็นทีม

ข้อสอง คุณสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อเพิ่มระดับพลังงานได้ เช่น หากคุณพบว่าการออกกำลังกายทำให้คุณมีพลัง คุณสามารถจัดเวลามากขึ้นเพื่อดูแลสุขภาพร่างกายของคุณทุกเช้า และถ้าคุณพบว่าการพักนานๆ และไม่บ่อย ไม่ได้ผลสำหรับคุณ คุณสามารถพักให้สั้นลงและสม่ำเสมอแทนได้

การเขียนบันทึกยังช่วยให้เรารู้ว่า เราให้คุณค่ากับอะไร และต้องการใช้พลังงานไปกับเรื่องใด

7. ตัวอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านจัดการพลังงาน

Warren Buffett

หนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก สิ่งหนึ่งที่เขาทำคือ กำหนดวันในปฏิทินที่เขาไม่มีอะไรทำ ซึ่งหมายความว่า ไม่ต้องเข้าร่วมประชุม ไม่ต้องโทรศัพท์ หรือตรวจสอบข้อความเสียง และไม่มีธุระใดๆ

เขาเชื่อว่าการนั่งคิด เป็นแนวทางปฏิบัติที่สำคัญมากกว่าการใช้เวลาทุกนาทีในแต่ละวันไปกับงานต่างๆ

Kamala Harris, Vice President

มักจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการออกกำลังกาย เธอทำเช่นนี้แม้ว่าเมื่อคืนก่อนเธอจะไม่ได้นอนมากนักก็ตาม สำหรับเธอ การออกกำลังกายช่วยให้มีสมาธิและมีพลัง ช่วยให้เธอเพลิดเพลินไปกับวันที่เหลือได้ดีขึ้น และรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

Bill Gates

เขาเรียนรู้สิ่งนี้จาก Warren Buffett ก่อนหน้านี้เขาเคยบริหารเวลาโดยจัดสรรเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน แต่ตอนนี้เขาเชื่อว่า การนั่งคิดมีความสำคัญมากกว่าการใช้เวลาทุกนาทีในตารางงาน

Jeff Bezos

เวลาที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดในแต่ละวัน คือ เวลาที่เขาไม่ทำอะไรเลย การประชุมครั้งแรกจะไม่เกิดขึ้นก่อน 10.00 น. เพราะเขาให้ความสำคัญกับเวลาที่เขาต้องพูดคุยกับครอบครัวในตอนเช้า การทำเช่นนี้ช่วยปกป้องระดับพลังงานของเขา

Anine Bing

ซีอีโอด้านแฟชั่นให้ความสำคัญกับการมีสติ เธอเริ่มวันใหม่ด้วยการทำสมาธิ เนื่องจากเธอรู้ดีว่า การใช้เวลาสงบสติอารมณ์และตั้งใจกับความคิด จะทำให้เธอมีประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วงที่เหลือของวัน การฝึกสมาธิช่วยให้เธอมีพลังงานตามที่ต้องการ

การจัดการพลังงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาประสิทธิภาพการทำงาน และความเป็นอยู่โดยรวม ทำความเข้าใจวงจรพลังงานของจิตใจและร่างกายของตัวเรา

ขอบคุณตัวเองในทุกวัน ทุกชั่วโมง

หาเวลาพัก ปรับระดับพลังงานให้เหมาะสม

คุณจะประสบความสำเร็จทั้งในด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัว เมื่อคุณไม่ได้ทำงานหนักเกินไปหรือเหนื่อยล้า

การจัดการพลังงานเป็นแนวทางปฏิบัติ ที่ต้องใช้ความพยายามและความตระหนักรู้ในตนเองอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งชีวิต แต่ผลตอบแทนก็คุ้มค่า

หากองค์กรต่างๆ ลงทุนในบุคลากรของตนในทุกมิติของชีวิต ช่วยสร้างและรักษาคุณค่าของพวกเขา พนักงานแต่ละคน ก็จะตอบสนองด้วยการนำพลังหลากหลายมิติมาทำงานอย่างสุดใจสุดกายในทุกวัน

Reference:

*หมายเหตุ ที่มาของบทความนี้ เกิดจากประโยคแค่นี้เลย

และฉันก็เป็นคนบ้าในการไล่อ่าน Article(s) แล้วจับมายำแปลรวมกัน ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุก ใช้เวลาเขียนไปแบบจุกๆ ประมาณ 3–4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

เฮือก! นี่เรียก สร้างพลังงาน หรือ ดูดพลังงาน? 555+

--

--

Parima Spd
Parima Spd

Written by Parima Spd

I enjoy reading and writing. Continue to learn and try new things to improve. Before you die, explore this world.

No responses yet