#priwreadarticles ปัญหามีไว้ให้แก้ อุปสรรคมีไว้ให้ฝ่าฟัน (Problem Solving)

Parima Spd
2 min readMay 16, 2024

--

**เนื้อหานี้แปลจากบทความ Problem Solving PDF By Saeed**

การแก้ปัญหา คือกระบวนการระบุปัญหา วิเคราะห์ แล้วสร้างวิธีแก้ปัญหา เป็นทักษะสำคัญที่ควรมีในทุกด้าน เนื่องจากช่วยให้รู้จักคิดวิเคราะห์ และหาทางออกที่สร้างสรรค์สำหรับปัญหาที่ยากลำบาก การแก้ปัญหายังเป็นกระบวนการที่สามารถใช้เพื่อพัฒนาแนวคิดและกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อจัดการกับความท้าทายต่างๆ

การแก้ปัญหา สามารถช่วยให้ผู้คนกลายเป็นนักคิดที่มีความมั่นใจและเป็นอิสระมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนความสามารถในการคิดนอกกรอบ

การแก้ปัญหา ยังสามารถช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ซึ่งจำเป็นต่อความสำเร็จในหลายด้าน เช่น ธุรกิจ วิศวกรรม การดูแลสุขภาพ และอื่นๆ

มีหลายวิธีในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา หนึ่งในนั้นคือการฝึกแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถทำได้โดยการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องการการแก้ปัญหา เช่น การหาวิธีซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสีย หรือหาวิธีหลีกเลี่ยงรถติด นอกจากนี้ แต่ละคนสามารถฝึกฝนการแก้ปัญหาด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้ทักษะการแก้ปัญหา เช่น หมากรุกหรือซูโดกุ

เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหา มีกลยุทธ์มากมายที่สามารถใช้ได้ เช่น

  • การระดมสมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหาทางออกให้ได้มากที่สุด
  • การลองผิดลองถูก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลองวิธีแก้ปัญหาต่างๆ จนกว่าจะได้ผล
  • วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบและรวบรวมข้อมูลเพื่อหาแนวทางแก้ไข

ความคิดสร้างสรรค์ เป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหา

ความคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวข้องกับการคิดหาไอเดียใหม่ๆ และวิธีแก้ไขปัญหา ซึ่งสามารถช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากขึ้น นอกจากนี้ ความคิดสร้างสรรค์ยังช่วยให้การแก้ปัญหาเป็นเรื่องสนุกมากขึ้น ช่วยให้แต่ละคนคิดวิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และเป็นนวัตกรรมมากขึ้น

อารมณ์ มีบทบาทในการแก้ปัญหา

เมื่อแต่ละคนรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือโกรธ อาจเป็นเรื่องยากที่จะคิดให้ชัดเจนและหาทางออกที่มีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน เมื่อแต่ละคนรู้สึกสงบและผ่อนคลาย พวกเขาสามารถหาทางออกที่สร้างสรรค์และแปลกใหม่ได้ง่ายขึ้น

เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือที่มีค่าในการแก้ปัญหา

เทคโนโลยีสามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการแก้ปัญหา โดยให้การเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากร ที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ปัญหา และหาวิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้ เทคโนโลยียังสามารถช่วยให้งานแก้ปัญหาบางอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งสามารถช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น

5 ขั้นตอน สำหรับการแก้ปัญหา

  1. ระบุปัญหา ตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณเข้าใจสถานการณ์ของปัญหาได้อย่างชัดเจนกระจ่างแจ้ง
  2. สรรค์สร้างไอเดียจำนวนมาก ไม่ใช่ทุกไอเดียจะเวิร์ค พยายามไม่เลือกไอเดียในตอนนี้ ไม่ว่าจะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค ให้สร้างไอเดียให้มากเท่าที่จะทำได้
  3. ประเมินไอเดียเหล่านั้น พิจารณาว่าไอเดียใดควรลอง และไอเดียใดควรละทิ้ง
  4. ตัดสินใจเลือกไอเดียที่จะนำมาแก้ปัญหาและลองทำดู
  5. หลังจากเลือกไอเดียมาลองใช้แล้ว ตรวจสอบดูว่ามันเวิร์คไหม ถ้าผลออกมาดีก็สุดยอดไปเลย แต่ถ้ามันไม่เวิร์ค ก็กลับไปที่ขั้นตอนที่สาม แล้วก็ลองเลือกไอเดียอื่นมาทำใหม่

พออ่าน 5 ขั้นตอนจบปุ๊บ แวบแรกที่โผล่เข้ามาในห้วงความคิดเลยก็คือ นี่มัน Plan-Do-Check-Act นี่หน่า ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ก็วนกลับไปที่รากฐานเดิมอีกแล้ว

ในชีวิตจริง เรื่องที่เพิ่งเกิดกับตัวล่าสุดก็คือ รองเท้าสีขาวคู่ใหม่ที่ซื้อมา หลังจากใส่อย่างจริงจังไปแค่ประมาณ 1 สัปดาห์กว่าๆ (ตอนไปเที่ยวไต้หวัน) พอกลับมาบ้าน ก็เช็ดๆ ด้วยทิชชูเปียก แล้วก็เอาไปเก็บเข้ากล่องรองเท้าด้วยความที่กลัวเลอะฝุ่น ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ เปิดกล่องออกมาจะใส่เดินทางไปเชียงใหม่ เอ้า! กลายเป็นคราบสีเหลืองเต็มไปหมด กรี๊ดดดดด อุตส่าห์รักษาอย่างดี

(ขั้นตอนที่ 1) สิ่งแรกที่ทำก็คือ Research ก่อนเลย ว่า มันเกิดจากอะไร ซึ่งคาดว่า มันแห้งไม่สนิทหลังจากเอาทิชชูเปียกเช็ด แล้วสีขาวมันสีตก!

(ขั้นตอนที่ 2) จากนั้นก็ต่อด้วย ชาวบ้านชาวช่องมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง อ่านเยอะมากๆ

(ขั้นตอนที่ 3) ดูว่าวิธีไหนที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ด้วยอุปกรณ์จำกัดที่มี หรือที่จะสามารถหาซื้อได้

(ขั้นตอนที่ 4) นี่ก็ลองด้วย แปรงสีฟันและยาสีฟันสีขาวก่อน พยายามขัดๆ ไปสักพัก

(ขั้นตอนที่ 5) เหมือนจะไม่ได้ผลเลยแฮะ คราบยังชัดเจนแจ่มแจ้ง เอายังไงดีนะ?

(ขั้นตอนที่ 3) ก็นึกขึ้นได้ว่า พกน้ำยาซักผ้าแบบอ่อนโยนมา อ่ะ ลองเอามาอีกสักที

(ขั้นตอนที่ 4) เทน้ำยาซักผ้าลงไป แล้วก็เอาแปรงสีฟันขัดรัวๆ ต่อ ใช้พลังกายไม่มาก แต่พลังใจสูงมาก 55+ ขัดไปอีกพักหนึ่งก็ได้เวลาล้างออก

(ขั้นตอนที่ 5) หลังจากล้างน้ำเอาฟองออก พบว่า คราบมันออกมากกว่ายาสีฟัน (นิดนึง) เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน

(ขั้นตอนที่ 2–3) และจากที่ค้นคว้ามาบวกประสบการณ์ในอดีต

(ขั้นตอนที่ 4) ก็คือเอาทิชชูห่อรองเท้าเป็นมัมมี่เลย ก่อนเอาไปเป่า/ตากให้แห้ง

(ขั้นตอนที่ 5) ผ่านไปสักพัก ก็แง้มทิชชูออกมาดูความคราบใดๆ ก็ติดกับทิชชูออกมาบางส่วน แปลว่า เรามาถูกทางแล้วล่ะ โปะทิชชูไว้จนกว่ารองเท้าจะแห้งสนิท ซึ่งมันก็ได้ผลส่วนหนึ่ง เพราะคราบที่ติดกับรองเท้าเหลือน้อยลง แต่ยังไม่ออกทั้งหมด

แปลว่าเราน่าจะต้องกลับไปเลือกสารทำความสะอาดตัวใหม่ที่รุนแรงกว่านี้ (ขั้นตอนที่ 3) แต่หยุดไว้เท่านี้ก่อน เดี๋ยวค่อยกลับไปทำที่บ้านแล้วกัน

<<เดินทางกลับถึง กทม.>>

(ขั้นตอนที่ 3–4) เลือกสารทำความสะอาดใหม่ ที่เป็นผงซักฟอกทรงพลัง ใช้แปรงสีฟันสองอัน (ซึ่งอันนี้อาจจะไม่ช่วยเท่าไหร่ แค่อยากใช้สองอันเฉยๆ) หลังจากขัดแล้วขัดอีก ก็ล้างน้ำให้เรียบ และสำคัญที่สุดคือ การห่อรองเท้าให้เป็นมัมมี่ แล้วนำไปตากแดดผึ่งลมเกิน 24 ชั่วโมง

(ขั้นตอนที่ 5) จากนั้นค่อยๆ แกะทิชชูออกอย่างใจระทึก แล้วพบว่า คราบหายไปเกือบหมด อย่างน้อย 95% ดีใจมาก แปลว่า ปัญหาถูกแก้ไขอย่างถูกวิธี เก่งมาก 55+

ในชีวิตของการพัฒนา Software ที่เจอในโครงการจริงเมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน (เป็นเรื่องที่ชวนคุยใน Sprint Retrospective)

(ขั้นตอนที่ 1)

ปัญหาที่พบ: ทีมงานไม่สามารถทำการทดสอบให้เสร็จในรอบการทำงานได้ (หนึ่งรอบ คือ สิบวันทำการ)

สาเหตุ:

  • เนื่องจากหลังบ้าน มีการสับสนในข้อมูลบางส่วน ส่งผลให้ Integrated ล่าช้ากับ หน้าบ้าน เพิ่งรู้ตัววันที่ 7 ของ Sprint ทำให้ทดสอบไม่ทัน
  • มีการปรับโครงสร้าง Microservice กระทบกับการทำงานเดิมของระบบ ทำให้ต้องใช้เวลาไปตามหาปัญหาและแก้ไขในระหว่าง sprint
  • มีการแก้โปรแกรมบ่อยครั้ง เกิด issue ขึ้นเรื่อยๆ
  • วางแผนแค่การทำงานของตัวเอง ไม่ได้เผื่อกรณีที่มี issue และงานที่มีคนอื่นต้องทำต่อ

(ขั้นตอนที่ 2–3) ทีมระดมความคิดว่า สิ่งใดบ้างที่จะช่วยแก้ไขปัญหาไม่ให้เราเจอแบบนี้อีก แล้วคิดว่าจะเลือกอันไหนมาทำก่อน ที่สามารถทดลองทำได้จริงใน Sprint หน้า

(ขั้นตอนที่ 4 ส่วนแรก) เลือกไอเดียว่าจะทดลองทำเรื่องใด พร้อมระบุแผนงานว่า จะทำในวันใด หรือในกิจกรรมใด เช่น

  • ในกิจกรรม PBR จะระบุว่า จะแก้ที่ส่วนไหน แล้วมันกระทบที่ส่วนไหนบ้าง
  • ระบุ spec ให้ชัดเจน ให้เคลียร์ เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนในข้อมูลและ requirement เพื่อจะได้รู้ว่าต้องทำอะไร ยังไง และ จะได้ประเมิน Effort ของงานแต่ละอย่างของตัวเองได้แม่นยำมากขึ้น
  • วันแรกของ Sprint จะสร้าง API Mock Up Return ตาม API Spec และ Integrated API เพื่อดู Response ว่าตรงตาม Spec หรือไม่
  • Integration กับข้อมูลจริง ต้องเสร็จ ภายในวันที่ 5 ของ Sprint
  • งาน Backend ต้องเสร็จก่อน วันที่ 5 ของ Sprint และที่เหลือ อีก 3 วันคือ Effort ของการแก้ issue และเผื่อสำหรับงานคนอื่นที่ต้องทำต่อ

(ขั้นตอนที่ 4 ส่วนหลัง) ทีมลงมือทำตามแผนงานที่วางไว้

(ขั้นตอนที่ 5) พอครบ 1 รอบการทำงาน ณ วันที่ 10 ของ Sprint ก็มาเช็คระยะกันหน่อยว่าปัญหาที่เคยเกิด มันยังมีอยู่ไหม อาจจะไม่ได้หายสนิท แต่อาจจะบรรเทาอาการเจ็บปวดลงบ้างแล้ว ก็มาคุยกันต่อว่า เราทำอะไรให้มันดีขึ้นได้อีก เพื่อให้ปัญหานี้มันหายไป (ซึ่งถ้าเป็นเคสนี้ วันที่ 5 ก็รู้แล้วว่า แผนที่เราวางไว้บางข้อ มันทำได้จริงไหม วิธีนี้มันช่วยได้จริงไหม)

ปิดท้ายด้วยเรื่องเดิม PDCA: Plan-Do-Check-Act

ซึ่งการแก้ปัญหาของทีมงานที่กำลังพัฒนา Software (หรือ Hardware) ไม่ได้ง่ายเหมือนการขัดรองเท้าผ้าใบที่เลอะคราบ

เรื่องสำคัญอีกส่วนที่เราคิดว่าขาดไม่ได้เลย ก็คือ ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ในงานนั้นๆ จะช่วยทำให้เราแก้ปัญหาได้ดีขึ้น

เพราะชีวิต คือการเรียนรู้ ไม่มีที่สิ้นสุด (Lifelong Learning)

--

--

Parima Spd
Parima Spd

Written by Parima Spd

I enjoy reading and writing. Continue to learn and try new things to improve. Before you die, explore this world.

No responses yet