#priwreadbooks จริงครึ่ง บรรลัยครึ่ง Hyperbole and a Half
#แอลฟาเบรนพับลิชชิ่ง แอลลี บรอช (Allie Brosh) เขียน ก้าวหน้า สุขสุชะโน แปล
ครึ่งหนึ่งรวบรวมจากเว็บบล็อก Hyperbole and a Half ของแอลลี บรอช นักเขียนชาวอเมริกันวัยยี่สิบกลางๆ และอีกครึ่งเขียนขึ้นใหม่จาก “ประสบการณ์การเรียนรู้ที่โคตรห่วย” ของเธอแบบมีภาพประกอบ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตวัยเยาว์สุดเพี้ยน การรับเลี้ยงน้องหมาที่มีปัญหาทางจิต การสำรวจความคิดความรู้สึกของตนเอง และการก้าวผ่านปัญหาต่างๆ ในชีวิต รวมถึงโรคซึมเศร้าของเธอเอง โดยหนังสือจะเปิดตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กของผู้เขียน หรือที่เรียกว่าสัญญาณเตือนของอาการแปลกๆ แบบนี้ การรับเลี้ยงหมาสองตัวที่ไม่เหมือนกัน หมาธรรมดาสามัญ กับ สุนัขผู้ช่วยเหลือเฮงซวย น้องหมาไม่เคยเข้าใจหลักการง่าย ๆ อย่างการย้ายบ้าน หรือ เธอที่พยายามกินเค้กวันเกิดที่แม่ยังไม่อนุญาตให้กิน เอาไปเก็บล็อคในห้อง แต่สุดท้ายก็หาวิธีทางเข้าถึงเค้กได้ และกินเข้าไปได้หมดทั้งก้อน (งงมาก)
รู้สึกไม่ค่อยดีอยู่เหมือนกันที่โศกเศร้าโดยไร้เหตุผล ที่จริงคุณก็สามารถปล่อยให้ความเศร้าเกิดขึ้นได้ ถ้าคุณรู้ต้นสายปลายเหตุ แต่ความเศร้าของฉันไม่มีเหตุผล ลึกๆแล้วความรู้สึกถูกผิดของฉัน เหมือนกำลังแปรเปลี่ยน เหลือเพียงความน่าสมเพช ความน่าสงสาร นั่นเป็นความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่จากความโศกเศร้าทั้งหมด ความคิดที่ว่าเรายืนอยู่ท่ามกลางความรู้สึกสงสารตัวเอง ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้แม้เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็แย่ลงอย่างรวดเร็ว
ฉันเคยสนุก ฉันเคยมีความสุขได้ด้วยตัวฉันเอง ไปทำอะไรสักอย่างสิ แต่ความเศร้าก็ไม่จางหายไป ฉันลองพยายามบอกตัวเองให้ไม่โศกเศร้า แต่ความพยายามที่จะหยิบใช้พลังใจเอาชนะการนิ่งเฉย กลับยิ่งส่งเสริมอาการซึมเศร้า ความสามารถในการคิดวิเคราะห์วางแผนหรือเรื่องพื้นฐานต่างๆ ก็เสียหายใช้การไม่ได้ เมื่อฉันไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้เศร้าได้ ฉันเริ่มวิตกและโกรธตัวเอง สุดท้ายในความพยายามที่เสริมพลังต่อชีวิตในตัวฉัน
ฉันใช้ความละอายใจเป็นเครื่องมือสร้างแรงผลักดันภายใน แต่เพราะว่าฉันซึมเศร้า วิธีการนี้ก็ไม่ค่อยช่วยให้จิตใจฉันดีขึ้นเท่าไหร่ แถมรู้สึกกดดันด้วยความรู้สึกแย่ของตัวเอง นั่นทำให้ฉันซึมเศร้ามากขึ้น ทำให้ฉันว้าวุ่นใจและกลายเป็นคนหยาบคาย และนั่นก็ทำให้รู้สึกเศร้ามากขึ้นไปอีก
ความรู้สึกเกลียดและรำคาญตัวเองดูเหมือนจะผ่านไปแล้ว แต่ฉันก็มาไกลเกินกว่าจะกลับไปยืนที่เดิม ฉันเหมือนก้มหน้าเดินต่อไปยังจุดหมายแห่งความเศร้า ล้อมรอบด้วยเสียงตำหนิตนเองจนถึงความคิดที่ก่นด่าการกระทำของตนเองอยู่ร่ำไป ความคิดความอ่านฉันค่อยๆ แห้งเหือดหายไปอย่างช้าๆ เหลือเพียงลมหายใจที่อ่อนระโหย รอคอยวันเวลาอันพร่าเลือน
ฉันจะเกลียดตัวเองมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
จุดเริ่มต้นความซึมเศร้าของฉันไม่ใช่สาเหตุอะไรเลยนอกไปเสียจากความรู้สึกซึมเศร้า อารมณ์ที่เหมือนตายจากไปแล้วนั้นเสมือนจุดเริ่มต้นให้อารมณ์อื่นๆ ลาจากไปด้วย สุดท้ายฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้สึกอะไรอีก นำไปสู่ความน่าเบื่อที่กัดกร่อนดวงวิญญาณให้เลือนหาย ฉันพยายามจะแก้ไข แต่กิจกรรมต่างๆ ล้วนทำให้ฉันรู้สึกสับสนและว้าวุ่นภายในใจตัวเอง ว่าจะสนุกกับมันได้มากเพียงไหน
หลายเดือนผ่านไป ฉันเริ่มยอมรับว่าความสุขสำราญ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะรู้สึกถึงได้อีกต่อไป ฉันมีความรู้สึกไม่สบายใจนักเกี่ยวกับความน่าเบื่อหน่ายภายในใจ กับความรู้สึกอยากแยกตัวเองออกจากผู้คนรอบข้าง แต่ที่ฉันทำก็คือการอยู่เฉยๆ และหวังว่าทุกสิ่งรอบตัวจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้ด้วยตัวของมันเอง
การที่คุณลดการพบปะกับสิ่งที่ช่วยให้แก้เบื่อหรือคลายเหงานั้นก็ยิ่งทำให้คุณติดอยู่ในวังวนความเบื่อหน่าย ความโดดเดี่ยว และความไร้ความหมายในชีวิต ทุกคนก็อยากช่วยเหลือ แต่ความหวังที่พวกเขาให้ ทำให้โอกาสเข้าใกล้ความหวังมีความริบหรี่มากยิ่งขึ้น และสุดท้ายเขาก็จะยอมแพ้ต่อภารกิจมองโลกในแง่ดี ปล่อยให้คุณกลับไปรู้สึกเบื่อหน่ายและจมอยู่ในความโดดเดี่ยวโศกเศร้าของคุณเอง และนั่นคือความว้าวุ่นใจทั้งหมดเกี่ยวกับความซึมเศร้า
คุณแค่อยู่ตรงนั้น ไม่ต้องหาความหมายอะไรจากเรื่องพวกนี้ ปล่อยความหวังพวกนั้นทิ้งไป
ฉันไม่ชอบความรู้สึกว้าวุ่นกระวนกระวายใจและเกลียดความว้าวุ่นใจที่มักพุ่งใส่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งถ้าหากฉันได้รู้สึกไม่ชอบอะไรหรือเกลียดความรู้สึกแบบไหนด้วยแล้วเรื่องพวกนี้ก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ อย่างกับรู้ทันความรู้สึกเกลียดชังของฉัน
โชคดีไม่เคยเกิดขึ้นหรอก มันเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นเสมอ
ไม่ยุติธรรมเลยที่ทุกสิ่งรอบตัวบนโลกใบนี้ไม่ประพฤติตามคำตัดสินของฉัน ความจริงไม่เป็นตามกฎของฉัน ฉันสร้างกฎของโลกใหม่ขึ้นมาโดยคาดหวังว่าโลกความจริงจะประพฤติตามกฎเหล่านี้ ฉันสร้างสรรค์กฎใหม่ๆ อยู่ทุกวัน ไม่ทันรู้ตัวเลย จนกระทั่งวันหนึ่งกฎธรรมชาติที่ฉันสร้างขึ้นก็พังลงต่อหน้า ฉันรู้สึกไม่ชอบอะไรก็ตามที่ฉันไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่โลกความจริงเป็น
การพัฒนาตนเองนั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไป ต้องเริ่มช้าพอที่วันหนึ่งคุณจะค้นพบชิ้นส่วนไม่ดีของตัวคุณ เศษเสี้ยวที่คุณอาจรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่แล้วนำชิ้นส่วนนั้นออกไปให้ไกล แล้วคุณก็จะได้เข้าใจตัวตนของคุณมากขึ้นจากการทลายป้อมปราการการโกหกที่คุณก่อร่างสร้างขึ้นมา
การอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ละคนที่อ่านจะรู้สึก Relate กับเนื้อหาบางเรื่องได้ไม่เหมือนกัน และนั่นหมายความว่า ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้อยู่คนเดียว
ขอบคุณพี่นุ่นที่ให้ยืมมาอ่านฮะ