#priwreadbooks ช่อมะลิลา

Parima Spd
1 min readMay 12, 2019

#อรุณ แก้วเก้า

ภูมิไท เลขาธิการหน่วยงานแห่งหนึ่งได้บูรณะตึกเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 6–7 ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ทำงาน ไปพบเอกสารและภาพถ่ายซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของผู้เคยเป็นเจ้าของตึกหลังนั้น โดยเฉพาะพลเอกเจ้าพระยาเสมามนตรี และคุณหญิงเสมาเมือง (ซึ่งไม่เคยมีโอกาสได้เป็นท่านผู้หญิง) รวมถึงภาพชายหนุ่มที่ดูเป็นนักเรียนนอก แต่ไม่น่าจะเป็นลูกชายของเจ้าพระยาได้ ภูมิไทตั้งใจจะบูรณะตึกหลังนั้นเพื่อทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ปิ่นเมือง อดีตภรรยาของเจ้าคุณเสมามนตรีมาปรากฏตัวให้เห็นเพื่อห้ามไม่ให้รวมตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์ที่ภูมิไทจะจัดทำให้เจ้าคุณ ยิ่งทำให้ภูมิไทสนใจประวัติเจ้าคุณคนนั้นและคุณหญิงมากยิ่งขึ้น

ปิ่นเมืองเล่าเรื่องราวในอดีตครั้งเมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่ให้ภูมิไทฟังว่า ได้แต่งงานกับเจ้าคุณหลังจากที่จันทร์ พี่สาวคนโตซึ่งเป็นภรรยาคนแรกของเจ้าคุณเสียชีวิต ทิ้งลูกเล็กๆ ชื่อหนูนก (นครา) ไว้ ตายายของหนูนกไม่อยากให้หลานต้องมีแม่เลี้ยงเป็นผู้หญิงอื่น ครั้งแรกเสนอ วัน พี่สาวคนรองของปิ่นให้ แต่วันไม่ยอมเพราะเหตุหนึ่งเห็นว่าเจ้าคุณอายุมากแล้ว อีกสาเหตุเพราะเจ้าคุณเป็นคนขรึม วันบอกว่าไม่ยอมพูดจาอะไรเลยเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง เจ้าคุณซึ่งเวลานั้นเริ่มสนใจปิ่นแล้วก็ขอปิ่นมาแต่งด้วยแทน ปิ่นเองก็ยินยอมเพราะหลงรักเจ้าคุณเข้าแล้วเหมือนกัน พระยาเสมาเมืองและปิ่น แต่งงานอยู่กินกันอย่างปกติสุขมา 7 ปี เจ้าคุณเสมาเมือง ชื่อเดิมว่า เมือง ก็ยกชื่อ เมือง ให้ต่อท้ายปิ่นเพราะเห็นว่าชื่อ ปิ่น เหมือนชื่อผู้ชาย ปิ่นก็เลยกลายเป็น ปิ่นเมือง

ปัญหาเริ่มเกิดเมื่อเพื่อนรักแต่วัยเด็กของปิ่นเมือง คือพิรัช กลับจากเรียนหนังสือที่อังกฤษ ปิ่นเมืองและพิรัชเขียนจดหมายถึงกันตลอดเป็นภาษาอังกฤษ นับแต่ปิ่นไปเรียนโรงเรียนสตรีที่ปีนัง (ปิ่นอายุมากกว่า 2 ปี) พิรัชหลงรักปิ่นเมืองมานานแล้ว แต่พยายามยับยั้งความรู้สึกของตัวเองไว้เพราะปิ่นเมืองเป็นผู้หญิงมีสามีแล้ว ในเวลาเดียวกัน ปิ่นเมือง ก็คิดกับ พิรัช แบบเพื่อนจริงๆ

จนครั้งหนึ่งคุณหญิงแส แม่ของเจ้าคุณเสมาเมือง ซึ่งไม่ชอบปิ่นเมืองเป็นทุนอยู่แล้วเพราะเห็นว่าปิ่นเมืองทำตัวเป็นผู้หญิงสมัยใหม่เกินไป พอเห็นว่าลูกชายและสะใภ้ไม่มีลูกด้วยกัน ก็คิดจะยกเด็กสาวที่ตัวเองเลี้ยงมาคือ ประกาย ให้เป็นเมียน้อย ปิ่นเมืองไม่ยอม เจ้าคุณเองก็กลัวดอกพิกุลจะร่วงจริงๆ คือไม่ยอมบอกอะไรกับภรรยาของตัวเองเลยว่าคิดอย่างไรกับเรื่องนั้น จนต้องไปราชการที่น่าน 6 เดือน ประกายตามไปด้วย ปิ่นเมืองยิ่งเข้าใจผิดว่าเจ้าคุณพาประกายไปรับเป็นเมียน้อยแบบให้ห่างไกลจากตัวเอง เมื่อหันหน้าเข้าหาใครไม่ได้ มีก็เพียงพิรัชคนเดียวที่เข้าใจและพยายามช่วย ความรู้สึกของปิ่นเมืองที่มีให้พิรัชก็เริ่มเปลี่ยนไป

เจ้าคุณเริ่มเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล จึงพยายามกัดพิรัช ผู้มีศักดิ์เป็นหลายชายให้ไปศึกษาต่อระดับ Master ให้เร็วที่สุด พาปิ่นเมืองไปที่หัวหินเพื่อดูแลพระเจ้าอยู่หัว แต่ความก็แตกตรงที่ ปิ่นเขียนจดหมายหาพิรัชเป็นภาษาอังกฤษ แล้วโดนคุณหญิงแสเก็บไปจนได้ ทำให้พิรัชเดือดร้อนต้องมาหาเธอที่หัวหิน คืนนั้นเอง ก็เกิดแตกหักกัน เจ้าคุณก็เข้าใจผิด คิดว่าปิ่นเมืองและพิรัชมีอะไรกัน ทั้งๆ ที่ปิ่นเมืองพยายามไม่ให้มีเรื่องเสียหายเกิดขึ้นถึงสามีมาตลอด

เจ้าคุณไล่ปิ่นเมืองไปตั้งแต่คืนนั้น และขอหย่าในที่สุด ปิ่นเมืองย้ายมาอยู่กับแม่ซึ่งต่อมาแยกกับพ่อ ใช้ชีวิตอยู่อย่างอัปยศ แม้พิรัชจะขอให้เธอตามไปที่อังกฤษด้วย เธอก็ไม่ยอมไป

ผ่านไปได้ปีสองปีกว่า ญาติผู้ใหญ่เริ่มทยอยเสียกันไปทีละคนสองคน พิรัชพาภรรยาที่เป็นลูกของท่านอุปทูตกลับมาด้วย ท่านเจ้าคุณที่ย้ายไปอยู่เมืองน่านกลับมาร่วมฟังสวดอภิธรรม แต่เธอไม่สามารถมีหน้าไปเจอท่านได้ ได้แต่ฟังพระอยู่ด้านหลังเท่านั้น

แต่งงานได้ไม่นาน พิรัชก็เริ่มระหองระแหงกับภรรยา แล้วก็ชอบกลับมาหาเธอ จนวันหนึ่งภรรยาตามมาถึงบ้านสวนที่เธออาศัยอยู่กับแม่และพี่สาว เกิดเรื่องใหญ่โต ไม่นานนัก ก็ถึงเวลาที่เพื่อนรักต้องแยกจากกันอย่างถาวร เป็นการจากเป็นที่ทรมานมากกว่าการเจ็บตายยิ่งนัก

บั้นปลายชีวิตเธอได้ไปเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนสตรีที่เธอเคยเรียนสมัยวัยเยาว์ที่ปีนัง พิรัชเองก็ดูแลภรรยาคนแรกไปจนเธอถึงแก่กรรม และได้แต่งอีกครั้งกับคนที่สองมีลูกที่น่ารักสองคน ด้านท่านเจ้าคุณก็อาศัยอยู่ตัวคนเดียวที่เมืองน่าน ไม่เคยมีหญิงอื่นใดอีกเลย แต่ก็แบกความแค้นชิงชังไว้กับตัวตั้งแต่วันนั้นที่แตกหักกับปิ่นเมือง จนเกือบวาระสุดท้ายของชีวิต

ถ้าจากกันเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ควรจากกัน ดีกว่าอยู่แล้วเดือดเนื้อร้อนใจไม่รู้จักจบ ฟังแม่นะแม่ปิ่น รักที่ยั่งยืนไม่มีจริงหรอกลูกเอ๋ย พิษรักที่เผาไหม้คนเรามันเกิดได้เฉพาะวัยหนุ่มสาวเท่านั้น ลูก พิรัชยังอยู่ในวัยร้อนแรง เมื่อรักก็รักมาก เจ็บก็เจ็บมาก แต่พอผ่านไปถึงอีกวันหนึ่งก็จะรู้ว่ารักก็เป็นแค่ลม เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง เกิดได้ก็ดับได้

แม่ไม่ได้ค้านว่ารักไม่มีจริง มีจริง รักที่ลูกมีต่อเจ้าคุณหรือพ่อพิรัช ก็รักจริงทั้งสองคนเรื่องที่ไม่พูดคือ มันไม่ยั่งยืนต่างหาก เมื่อพ้นวัยหนุ่มสาวไปแล้ว รักก็มอดดับไปเอง ถ้ายังหลงเหลืออยู่ก็คือแค่จดจำรำลึก เปรียบเหมือนเถ้าถ่านของเปลวไฟที่มอดไปแล้ว

ฉันคิดถึงแม่ปิ่นขึ้นมาด้วยดวงตาสว่างเป็นครั้งแรก ฉันน่าจะคิดได้ว่า แม่ปิ่นกลับตัวกลับใจแล้ว ถ้าหากว่าหล่อนรักพิรัชจริง หล่อนก็คงตกลงปลงใจอยู่กินด้วย แต่กลับปฏิเสธมาตลอด ย่อมพิสูจน์ว่าหล่อนไม่ได้ถึงขั้นถลำตัวเป็นชู้กับเพื่อนเก่า ส่วนเรื่องรักก็ไม่น่าจะเรียกว่ารัก เพียงแต่หลงผิดไปชั่วขณะ อนิจจาไม่ว่าแม่ปิ่นจะรักฉันหรือไม่ก็ตาม หล่อนก็ย่อมทุกข์ทรมานใจมากพออยู่แล้ว สูญสิ้นทั้งยศศักดิ์อำนาจวาสนา สูญทั้งสามีและบุตร ฉันไม่จำเป็นต้องลงโทษหล่อนเพิ่มขึ้น หล่อนก็ย่อมได้รับกรรมจากการกระทำของตนเองอยู่ดี ฉันหลงลงโทษหล่อนมาหลายสิบปี นอกจากหล่อนจะเจ็บแล้ว คนที่เจ็บไม่แพ้หล่อนคือฉันเอง ฉันไม่ขอลงโทษเราอีกต่อไป ฉันตั้งใจจะบวชในบั้นปลาย อุทิศส่วนกุศลให้แม่ปิ่น ให้ลูกชาย ให้พิรัช และทุกคนที่ฉันเคยไปทำผิดต่อเขาด้วยรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ฉันคงเขียนบันทึกเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นก็จะมุ่งเข้าหาทางหลุดพ้นจากนรกอันเผาไหม้ฉันอยู่เป็นเวลานานเสียที

“หากชาติหน้าเราได้พบกันอีก ถึงไม่มีโอกาสครองคู่กัน ขอให้พี่ได้แก้ตัวในความผิดอันพี่กระทำต่อเธอด้วยเถิด”

ผู้เขียนทิ้งท้ายไว้ในตอนจบว่าบางทีเจ้าคุณเสมาเมืองอาจได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ในท้ายบันทึกของตัวเองแล้ว คือมีแสดงเป็นนัยๆ ว่าบางทีภูมิไทอาจเป็นเจ้าคุณเองที่กลับชาติมาเกิด เพราะตอนที่ปิ่นเมืองเห็นภูมิไทครั้งแรก แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่ใช่เจ้าคุณ แต่อากัปกิริยาตอนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือบนโต๊ะทำงานนั่นเหมือน และภูมิไทเองก็มีความรู้สึกผูกพันกับปิ่นเมืองซึ่งอยู่ในรูปของวิญญาณนับแต่ครั้งแรกที่มาปรากฏตัวให้เห็น คงครองคู่กันไม่ได้ในเมื่ออยู่กันคนละภพ แต่ภูมิไทก็ได้แก้ตัวในความผิดตามที่เจ้าคุณเขียนไว้แล้วคือสร้างอนุสรณ์ให้เจ้าคุณและคุณหญิงเสมาเมืองไว้คู่กัน

อารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่ขึ้นกับเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าจะพยายามอธิบายก็อาจจะบอกว่าเราต่างก็เวียนว่ายตายเกิดในห้วงสมุทรแห่งวัฏสงสารมานับไม่ถ้วน ครั้งแล้วครั้งเล่า อาจมีบางชาติคุณกับฉันเคยได้เจอกันผูกพันกันแล้วก็แยกจากกันไปสู่ชาติภพอื่น มีคู่ครองอื่นหมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามาตามบุญและกรรมอันได้กระทำร่วมกัน เราไม่อาจจำกันและกันได้ ฉันจึงบอกไม่ได้ว่าคุณคือเจ้าคุณของฉันในอดีตชาติหรือไม่ คุณอาจเป็นท่านหรือคุณเคยเป็นพิรัช หรือแม้แต่เป็นคนอื่น อย่างไรก็ตามจะเป็นหรือไม่เป็นก็ไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญนัก สิ่งสำคัญคือคุณเป็นมิตรอันประเสริฐ ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลปลดปล่อยฉันจากบ่วงทุกข์บ่วงใหญ่ ข้อนี้เป็นพระคุณที่ฉันรำลึกถึง ตราบใดที่ฉันยังรำลึกถึงความดีของคุณ ส่วนคุณก็ยังผูกพันในตัวฉันอยู่ ก็จะไม่มีคำว่าอำลาระหว่างเราสองคน

--

--

Parima Spd
Parima Spd

Written by Parima Spd

I enjoy reading and writing. Continue to learn and try new things to improve. Before you die, explore this world.

No responses yet