#priwreadbooks ยังไม่ทันเข้างาน ก็อยากกลับบ้านแล้ว
#Bloom ว็อนจีซู เขียน ธัชชา ธีรปกรณ์ชัย แปล
- ไม่มีใครไม่เหนื่อยกับการทำงาน แต่ในเมื่อได้งานที่ฝันแล้ว ทำไมยังเหนื่อยใจอยู่อีกล่ะ
- การทำงานแบบไม่ต้องปลอบใจตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่มีอยู่จริงหรือ
- แล้วมันจะมีทางที่ดีกว่านี้หรือเปล่านะ
- ความสบายใจของฉันอยู่ที่ไหนนะ
- เหนื่อยจัง ไม่ไปทำงานก็ไม่ได้ จะลาออกก็ไม่ได้
- เช้านี้ก็เหมือนเดิม ไม่อยากตื่นมาทำงานเลย
- เมื่อไรถึงจะรู้สึกมั่นคงนะ
- งานที่เหมาะกับฉัน มีอยู่จริงด้วยเหรอ
ความกังวลยังคงอยู่ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเรามักตั้งคำถามอยู่เสมอว่า ชีวิตแบบไหนกันแน่ที่เหมาะกับตัวเรา ออกไปเผชิญหน้ากับมันครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้น การยอมรับสภาวะความเครียดที่ว่า และหาทางปรองดองกับความวิตกกังวลในใจจึงเป็นการบ้านที่จำเป็นของ “พนักงานออฟฟิศสมัยนี้” เพื่อออกไปวาดฝันเรื่องราวของวันนี้และพรุ่งนี้อย่างสบายใจมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
หวังว่าพวกเราที่มุ่งมั่นอย่างแรงกล้าจะไม่ยอมแพ้ แม้จะเหงาหรือเต็มไปด้วยความเศร้าในวันที่หาคำตอบไม่เจอ แต่เชื่อเถอะว่า พวกเราจะไม่สิ้นหวังบนเส้นทางชีวิตที่ตั้งใจเลือกไว้แล้ว
หลายครั้งที่มีแต่ความกังวลระหว่างเดินทางกลับบ้าน ให้คิดซะว่า การก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ต้องมีความหมายอะไรสักอย่างกับตัวเราในอนาคตอย่างแน่นอน
เมื่อจะลาออก ก็มักต้องเจอคำถามว่า “แล้วจะไปทำอะไรต่อ” ในช่วงนี้แม้จะตอบตัวเองไม่ได้ 100% และอาจต้องเจอกับความหวั่นไหว ก็จงปลอบตัวเองว่า “I’m fine” และยอมรับทางเลือกที่ตัวเองตัดสินใจอย่างเต็มที่
อะไรก็ตามที่เคยมีหรือเคยทำในที่ทำงานแรก จะยังคงตามติดเราไปเหมือนเงาตามตัว การที่เราล้มเหลวกับรักครั้งแรก ไม่ได้หมายความว่ารักครั้งต่อไปจะพังพินาศไปเสียหมด เช่นเดียวกัน การที่รู้ว่างานแรกไม่เหมาะกับตัวเอง ก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตการทำงานทั้งชีวิตต้องพังทลาย ความทรงจำอันแจ่มชัดของงานแรก ไม่ได้เป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของคนทำงานหรอก หากต้องเลิกรากับรักแรกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวรักครั้งใหม่ก็มา ไม่แน่อาจทำให้เราคลั่งรักมากกว่าเดิมก็ได้ ถึงยังไม่เจอรักแท้ ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเพราะในวันข้างหน้า เรายังมีรักครั้งใหม่ได้เสมอ
ถ้าจะย้ายงาน เราไม่ควรย้ายจากความรู้สึกว่า “ขอไปที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ที่นี่” เราควรมีจุดประสงค์ของการย้ายงานที่ชัดเจน ถ้ายังมีไม่ชัด ก็ควรไตร่ตรองดูดีๆ ก่อนจะตัดสินใจย้ายงาน
ถ้าได้ลาออกแล้ว ก็ต้องเตรียมใจรับความเสียดายหรือความเจ็บปวดที่แวะมาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว เมื่อถึงเวลานั้น ให้เอาเหตุผลที่ตัดสินใจลาออกมาเป็นเกราะป้องกันตัวเองดีๆ เหตุผลในใจก่อนเขียนใบลาออก อาจช่วยให้เราผ่านมรสุมความเจ็บปวดไปได้
“บริษัทที่ดีกว่า” ย่อมขึ้นกับตัวบุคคล และช่วงเวลา ณ ขณะนั้น คนเราเปลี่ยนความสนใจและสิ่งที่ให้คุณค่าอยู่ตลอด บริษัทที่ตอบโจทย์เราแต่ละคนในแต่ละช่วงเวลาจึงแตกต่างกัน บริษัทที่เหมาะกับทุกคนมากที่สุดไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่ได้เจอเมื่อลาออก อาจเป็นการตระหนักรู้ว่า บริษัทเดิมที่เคยทำนั้นดีไม่มากก็น้อย แต่ก็ได้เห็นโลกที่กว้างใหญ่ ซึ่งจะไม่มีวันได้เห็น ถ้าไม่ก้าวเท้าออกจากบริษัทเดิม
คนเราไม่ได้สนใจเส้นทางชีวิตของคนอื่นนักหรอก คนที่ตั้งตารอและจับตาดูความสำเร็จของฉันแท้จริงแล้ว มีแต่ตัวฉันเองเท่านั้น ความรู้สึกประสบความสำเร็จที่เคยได้รับจากการได้งานทำ ลาออก แล้วก็ได้งานใหม่ ไม่ได้เป็นเพราะได้แสดงอะไรในตัวให้คนอื่นเห็น แต่เกิดจากความรู้สึกชื่นชมตัวเอง ที่ผ่านค่ำคืนเคร่งเครียด ที่ต้องอดหลับอดนอนวันแล้ววันเล่ามาได้ และภูมิใจไปกับผลลัพธ์ที่ได้จากการทุ่มเทอย่างเต็มที่ แม้ช่วงเวลาที่ต้องกัดฟันอดทนนั้นขมขื่นเพียงใด แต่ทุกวินาทีที่พิชิตสิ่งเหล่านั้นมาได้ ก็ทำให้ใจเต็มอิ่มด้วยความปลาปลื้ม ในความเป็นจริง การได้รับการยอมรับจากผู้อื่นหลังจากประสบความสำเร็จกับบางสิ่งบางอย่าง อาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ถ้าไม่นับบททดสอบอื่นๆ ที่ตามมาหลังจากบรรลุผลสำเร็จ ความรู้สึกยินดีขณะที่เราพิชิตมันได้นั้นไม่ได้มาจากใครอื่น แต่มาจากตัวเราเองต่างหาก
เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น พยายามปล่อยวางในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้เหมือนเขา มีไม่ได้เหมือนเขา จงยึดมั่นในเส้นทางของตัวเอง และโฟกัสไปกับย่างก้าวของตัวเองเท่านั้น
แยกความคิดเห็นที่วิพากษ์วิจารณ์เราออกจากตัวเรา อย่าเอากระดานไวท์บอร์ดวางอยู่ด้านหน้าแล้วรับลูกธนูแห่งคำวิจารณ์ที่ยิงมาเรื่อยๆ ไม่ว่าใครจะพูดยังไง นั่นก็เป็นเพียงความคิดเห็นของเขา ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นจริงๆ
ตั้งใจฟังเสียงหัวใจตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเกิดความคิดแวบๆ ว่า “อาจไม่ใช่ภูเขาลูกนี้นะ” ซึ่งหมายถึง สิ่งที่เราทำอยู่ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ
จงฟังเสียงของตัวเองให้ดี แล้วเผชิญหน้ากับความคิดแรกอันคลุมเครือแบบตรงไปตรงมา จนกว่ามันจะกระจ่างชัดขึ้น
โจทย์ในชีวิตการทำงานนั้น ไม่ใช่โจทย์ที่ได้คำตอบครั้งเดียวแล้วจะจบ แต่โจทย์จะค่อยๆ ได้รับการขัดเกลา และแปรเปลี่ยนไปตามประสบการณ์และตัวตนของตัวเราที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโต แม้จะเจอสิ่งที่ใช่ ณ ตอนนี้ แต่อนาคตก็อาจเปลี่ยนอีกได้ จงอย่าคิดว่า ลดน้ำหนักลงได้ครั้งเดียว แล้วจะไม่ต้องคิดเรื่องนี้อีกตลอดชีวิต