#priwreadbooks Agile Coaching — Chapter 1 — Starting the Journey (สรุป)
by Liz Sedley and Rachel Davies
หนังสือเล่มนี้ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งมีอายุผ่านมาเกินสิบปีแล้ว บทความนี้จะมาสรุปเนื้อหาของ Chapter 1 ก่อน
แต่ก่อนจะไปถึงบทแรกนั้น ในบทของ introduction เขากล่าวว่า ศาสตร์ของการทำ Agile คือการเข้าใจสถานการณ์ เข้าใจคุณค่าของการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบอไจล์ ว่าสองอันนี้มันเอามารวมกันได้ยังไง ซึ่งในฐานะตำแหน่ง Agile Coach นี้ เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกคำตอบ เราจะต้องผ่านการทดลอง ทดสอบจำนวนหลายครั้ง กว่าจะหาสิ่งที่มันใช้ได้ ซึ่งเราก็จะได้เรียนรู้แล้วก็ได้ฝึกไปพร้อมกับทีมที่เราได้ไปทำงานด้วยนั่นแหละ
สิ่งที่ยากที่สุดของ Agile ไม่ใช่เรื่องของ Mechanic แต่เป็นเรื่องของการที่จะนำพาผู้คนยังไงให้สามารถนำ Agile ไปใช้งานได้มากกว่า
Agile Process Life cycle โดยทั่วไปคือการทำงานร่วมกันเป็นรอบๆ เพื่อส่งมอบซอฟต์แวร์ ซึ่งในแต่ละรอบก็จะเริ่มด้วยการ Planning ที่มี User Story จบด้วย Demo และ Retro ซึ่งทีมงานที่อยู่ด้วยกันจะทำการ Daily standup ในทุกๆ วัน ที่หน้าบอร์ดการทำงาน แล้วก็มีพูดถึงคำศัพท์สองคำคือ Test Driven Development รวมไปถึง Continuous integration แต่ละทีมสามารถใช้รอบการทำงานได้ตั้งแต่ 1 สัปดาห์หรืออาจจะใช้เป็นเดือน ขึ้นอยู่กับจังหวะของแต่ละทีมนั้น
การ Coaching คือการทำงานกับผู้คน ซึ่งผู้คนเหล่านี้ก็ทำงานใน Project ในทีม ในองค์กรที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลยว่าเราจะทำยังไงในสถานการณ์ที่เราจะเจอ
แต่สิ่งสำคัญของการเป็น Coach คือทำยังไงให้ทีมไม่เกิดความสับสน และทำยังไงให้ความยากเปลี่ยนเป็นความง่ายได้
ให้ลองจินตนาการถึง การใช้ค้อน ที่บางคนอาจจะใช้ด้ามในการทุบตะปูอยู่ หน้าที่ของเราคือสอนให้เขารู้ว่า สิ่งที่ควรเอาไปตอกตะปูคือบนหัวของค้อนไม่ใช่ด้านมือจับ แสดงให้ดูไม่ใช่แค่พูด แน่นอนว่าเราอาจจะมีไกด์ไลน์พื้นฐานให้ทำตาม แต่มันก็ยังมีอีกหลายไอเดีย หลาย Option มากมาย ให้เรานำไป Apply กับสถานการณ์ตรงหน้า
Chapter 1 — Starting the Journey
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า แต่ละทีมมีความแตกต่างกัน และทุกคนก็มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกัน มีความท้าทายของ Project ที่แตกต่างกัน
สำหรับทีมที่ไม่เคยใช้ Agile มาก่อนเลย หน้าที่ของ Coach อาจจะเหมือนในวงการกีฬา ที่ทำให้พวกเขาเห็นว่า Agile Practices มันทำงานยังไง หรือถ้าเป็นทีมที่มีประสบการณ์การทำงานแบบ Agile มาบ้างแล้ว ก็ให้ทำหน้าที่ช่วยในเรื่องของการฟังและการถามคำถาม เพื่อพัฒนาให้พวกเขาคิดเองได้ มากกว่าการเสนอ Solution เลย
สิ่งที่ต้องมีคือ ความสามารถในการสังเกตว่าทีมทำงานยังไง แล้วก็สามารถ Reflect กลับไปได้ด้วย สามารถให้ feedback ในสิ่งที่เราเห็นได้ สามารถให้ความรู้ด้วยการสาธิตให้ดู ผ่านการเล่าเรื่องหรือด้วยการทำ Training sessions แล้วก็ต้องมีความสามารถในการ Facilitate เพื่อให้เกิดการสื่อสาร การร่วมมือกัน รวมไปถึงการ Support ทีมเวลาที่เจอปัญหา คอยให้กำลังใจเพื่อให้ทีมยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเหมาะสม
สิ่งที่ต้องพัฒนาตัวเองให้สมกับการเป็น Agile Coach คือ
- Lead by example ถ้าอยากให้คนคุยกันแบบซึ่งหน้า ก็ต้องทำให้เป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ใช้การส่งอีเมลสื่อสาร
- Keep your balance เป็นเรื่องปกติที่คนจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง แล้วยิ่งตำแหน่งนี้เป็นคนเอาการเปลี่ยนแปลงเข้ามาด้วย (คิดเหรอว่าจะรอด 55+) พยายามคิดบวกเข้าไว้ จับหมวกของการเป็นโค้ชเอาไว้ให้แน่น อย่า take criticism personally
- Set a realistic pace หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็น Coach คือ “ความอดทน” อย่าคาดหวังความ Perfect ที่คงที่จากทีม การเปลี่ยนแปลงใช้เวลาเสมอ การดูแลทีมไม่ได้หมายถึงการใส่ความเครียดเข้าไป ทีมอาจจะมีปัญหาความกดดันมากอยู่แล้ว อย่าพยายามกดดันเข้าไปอีก ถ้าพบว่าทีมมีความช้าในการนำสิ่งนี้ไปใช้ หน้าที่คือต้องสอนพวกเขาไม่ใช่โดดเข้าไปด่า จงรับผิดชอบว่ามีอะไรที่เราสามารถทำให้ดีขึ้นได้อีก มันเร็วไปไหม เราเลือกเวลาผิดหรือเปล่า ที่สำคัญคือ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ จงทำไปอย่างทะนุถนอมและคงที่ หาหนทางที่เราจะสามารถ support ทีม เพื่อขจัดปัญหาก้อนหินที่กีดขวางทาง ทำให้ทีมรู้สึกสบายใจในการที่จะลองทำสิ่งใหม่
- Mind your language ถ้าพูดในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของทีม ก็ให้ใช้คำว่า “เรา” มากกว่า “ฉัน” แต่ถ้าจะมองในมุมมองที่เป็นเราคนเดียว เสนอความเห็น ก็ควรใช้คำว่า “ฉัน” (คิดว่า…) พยายามอย่าใช้คำว่า Never, Always, Right, Wrong ที่สำคัญมากคือ อย่าเอาคนไปแปะ Label เช่น กลุ่ม Dev หรือแก๊งผู้บริหาร แต่ให้เรียกชื่อคนแทน
- Learn as you go ถ้ามีสิ่งไหนไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดหวังไว้ อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ใช้เวลาในการคิดตรึกตรองว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมถึงเกิด สิ่งที่ส่งเสริมการเรียนรู้ที่ทรงพลังที่สุดคือการเรียนรู้จากสิ่งที่เราพลาดไป ให้ถามตัวเองว่าเราสามารถทำอะไรที่มันแตกต่างได้ไหมถ้าเราเจอสถานการณ์แบบนี้อีกครั้ง เช่นเดียวกัน อย่าลืมมีช่องให้กับทีมที่สามารถจะผิดพลาดได้ และอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยให้พวกเขาเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ก่อนที่เราจะเริ่มทำงานกับใคร กรุณาแนะนำตัวว่าเราคือใครก่อน รับผิดชอบเรื่องอะไร อะไรที่เราสามารถ support พวกเขาได้บ้าง สร้างความเชื่อมั่นและเชื่อใจ ไม่ว่าจะเป็นโค้ชจากภายนอกหรือจากภายในก็ตาม ทำให้พวกเขารู้ว่า เราอยู่ข้างเดียวกัน อาจจะเริ่มโดยการถามถึงความหวังและความกลัวสำหรับโปรเจคที่ทำอยู่ ทำให้เรารู้ได้ว่าเราสามารถทำอะไรเพื่อ support พวกเขาได้และสร้างความเชื่อใจกันต่อเป็นลำดับถัดไป
PrOpER cycle
- Problem เลือกปัญหาที่จะทำการจัดการขึ้นมา ดูว่าพวกเขาทำงานกันอย่างไร ส่วนไหนที่ต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมขึ้น
- Options คิดถึงทางเลือกไว้เสมอ อะไรที่เราสามารถลองทำได้ แล้วจะทำให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น โดย list มาอย่างน้อย 3 Options
- Experiment เลือกมา 1 Option แล้วทดลองทำเลย
- Review รีวิวผลลัพธ์ดูว่ามันพัฒนาจริงไหม หรือถ้าสมมติมันไม่ได้พัฒนา เราได้เรียนรู้อะไรจากการทดลองทำครั้งนี้
เวลาที่เราพยายามที่จะหา options ให้ลองไอเดียพวกนี้ดู
- Surface the problem ทำให้ปัญหาถูกมองเห็นโดยทีม
- Socialize the problem คุยกับทีมเกี่ยวกับปัญหา
- Wait and see จะทิ้งปัญหานี้ไว้ก็ได้ ถ้ามันแย่มาก ก็อาจจะมีคนสังเกตเห็นเอง
- Go sideways เอาปัญหานี้ไปคุยกับคนอื่น ที่อาจจะอยู่ภายในหรือภายนอกทีม
- Root cause analysis หาต้นเหตุของปัญหา
- Educate the team เตรียม information ให้กับทีม เพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็น solution ได้
- Put them in charge ส่งมอบความรับผิดชอบนี้ให้กับทีม หรือสมาชิกในทีม
การเปลี่ยนแปลงในองค์กรใหญ่อาจอยู่นอกเหนือความควบคุมของเรา ให้หาสิ่งเล็กๆ ที่เราสามารถทำได้ในทุกวันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้ามันสำเร็จก็จะเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับตัวเราเอง ถ้ามีสิ่งใดที่มันดูช้ามากเหลือเกิน ก็อย่าเพิ่งเศร้าเกินไป ขอแค่ก้าวไปทีละก้าวในทุกๆ วัน
ถ้าเราทำหน้าที่เป็นโค้ชที่เหมือนเป็นผู้เล่นในทีม ข้อดีคือเราจะได้ประสบการณ์กับปัญหานั้นโดยตรงแทนที่จะเป็นการสังเกตการณ์ แต่ถ้าเราเล่นในบทบาทโค้ชที่อยู่ภายนอกสนาม เราจะสามารถโฟกัสได้อย่างเต็มที่ว่า จะพัฒนา Process และทีมเวิร์คยังไง ทำให้เราเห็นภาพใหญ่ ซึ่งมันน่าจะเป็นตำแหน่งที่ดีกว่าในการที่จะช่วยพัฒนาทีมในภาพรวม
โค้ชที่ดีจะให้เครดิตกับทีมเสมอ
เรื่องเล่าของแตงกวาที่อยู่ในขวดโหลนานเกินไปจนกลายเป็นแตงกวาดอง
การที่เราอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ อาจจะทำให้เราหยุดสังเกตเห็นปัญหา เพราะเรารู้สึกว่าคนแถวนี้เขาก็ทำแบบนี้กัน ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่าเราจะเริ่มกลายเป็นแตงกวาดองให้ลองคุยกับคนอื่นดู อาจจะทำให้เราฉุกคิดได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนนี้
Agile Coach ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบทุกเรื่อง อาจจะเป็นเรื่องดีกว่าก็ได้ที่ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง หน้าที่เราคือช่วยให้ทีมสามารถก้าวข้ามผ่านปัญหานี้ไปได้ด้วยการ facilitate บทสนทนา พร้อมกับศึกษาไปด้วยว่าทีมอื่นเขาทำกันยังไง
หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 14 Chapter มาลุ้นกันว่าจะอ่านจบวันไหน นอกจากฝึกสกิลฝั่ง Agile แล้ว ก็ต้องฝึกอ่านภาษาอังกฤษ แล้วก็ฝึกสรุปแปลไทยไปด้วยในเวลาเดียวกัน หาทำชัดๆ