#priwreadbooks Are you fully charged? ได้เวลาชาร์จพลัง
#Openworlds Tom Rath เขียน รสลินน์ ทวีกิตติกุล แปล
เป็นหนังสือที่ซื้อมานานหลายปี (ในเล่มระบุปีไว้ว่า 2560) แต่ก็ไปอยู่ในกองดองอยู่นาน ><”
ชีวิตในแต่ละวันมีแต่เรื่องชวนให้พลังงานในตัวเรามอดลง หากคุณรู้สึกหมดแรง ทำงานได้แย่ลง คิดอะไรไม่ออก เครียดเกินพิกัด สุขภาพถดถอย ความสัมพันธ์ย่ำแย่ หนังสือ “ได้เวลาชาร์จพลัง : Are You Fully Charged?” จะช่วยชี้หนทางเติมไฟชีวิตให้คุณ ด้วยคำถามชวนฉุกคิดง่ายๆ ว่า “วันนี้พลังคุณยังเต็มอยู่ไหม?” หนังสือแบ่งออกเป็น 3 บทใหญ่ 21 บทย่อย บทส่งท้าย และท้ายเล่มมีช่องให้กรอกลงไปได้ด้วย
ผู้เขียนป่วยเป็นมะเร็งตั้งแต่วัยรุ่น อาการป่วยทำให้เขาสูญเสียตาข้างซ้ายไป และทุกวันนี้เขาก็ยังป่วยอยู่ แต่เงื่อนไขร่างกายเช่นนั้นก็ส่งผลให้เขาศึกษาเรื่องการพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง เพื่อหาวิธีใช้เวลาที่มีอยู่จำกัดให้ดีที่สุด
เคล็ดลับชาร์จพลังให้ชีวิตมี 3 ข้อใหญ่ คือ ทำงานที่สร้างความหมายให้ชีวิต ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนโดยเอาใจใส่เพื่อสร้างพลังงานดีๆ และอย่าลืมเติมพลังให้ตัวเองด้วยการกิน นอน และเคลื่อนไหวอย่างมีคุณภาพ
ทำงานที่สร้างความหมายให้ชีวิต ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น
การสร้างความหมายในการทำงานของเรา การมองเห็นว่าการทำงานของเราจะสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่นได้อย่างไรบ้าง มากกว่าคิดทำงานเพื่อแสวงหาความสุขส่วนตัวผู้เดียว หรือเพื่อหาเงินเท่านั้น
‘ความหมาย’ กับ ‘ความสุข’ นั้นต่างกันอย่างชัดเจน การจะเสาะหาความหมาย เราไม่จำเป็นต้องผันตัวไปเป็นคนทำงานเพื่อสังคม แค่มองหาจุดที่ว่าในงานที่ทำให้เจอ เช่น ถ้าทำงานจัดวางสินค้าในร้านขายของชำก็ให้รู้ตัวว่าเรากำลังช่วยให้คนอื่นประหยัดเวลา และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้ซื้อหาของมีประโยชน์กลับไปให้ตัวเองและครอบครัวอยู่ ความรู้สึกและประสิทธิภาพการทำงานก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
ห้วงเวลาที่มีความสุขแบบกลวงๆ ไม่เคยดีกว่าตอนที่เราทำงานโดยรู้สึกว่าสิ่งที่ทำมีคุณค่า ถ้าต้องทำงานโดยไม่มีเป้าหมายทุกวัน ไม่ต้องรอผลวิจัยมายืนยันเราก็รู้แก่ใจว่ารู้สึกแบบไหนจะดีกว่า
หาจุดแข็งและความสนใจของตนให้เจอ ใช้มันตอบสนองความต้องการของผู้อื่น งานของคุณควรช่วยส่งเสริมให้คุณอยู่ดีมีสุขในภาพรวม
ปฏิสัมพันธ์มีความหมายด้วยการเอาใจใส่
พลังบวกนั้นจะส่งต่อไปในวงกว้างในเครือข่ายสังคม และวนกลับมาให้ประโยชน์ตัวเราในที่สุด ทุกคนที่เราสื่อสารด้วยในแต่ละวันหรือตลอดทั้งสัปดาห์มีอิทธิพลต่อความอยู่ดีมีสุขของเรา ไม่ว่าเราจะเห็นเขาเป็นเพื่อนหรือรู้จักชื่อหรือไม่ ตัวเราเองจึงมีผลในต่อชีวิตประจำวันของคนอื่นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน และเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะเลือกปฏิบัติตัวแบบไหน
ฮอร์โมนที่เกิดปฏิสัมพันธ์ด้านบวกนั้นจะสลายตัวเร็วกว่าที่เกิดจากด้านลบ อารมณ์ทางบวกจึงเกิดขึ้นน้อยกว่าและคงอยู่ไม่นานเท่าอารมณ์อีกฝั่ง เมื่อปฏิสัมพันธ์เชิงลบหนึ่งครั้ง เราต้องอาศัยการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกอย่างน้อย 3–5 ครั้งเพื่อลบล้างผลกระทบนั้น เราจึงควรพยายามทำให้บทสนทนามีแต่เรื่องดีอย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์
เพื่อนร่วมงานที่มีมิตรภาพอันดีต่อกันจะทำงานได้ลื่นไหล เพราะอารมณ์ความรู้สึกแพร่กระจายได้ไวกว่าคำพูด เราจึงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้รวดเร็วกว่าคนที่ไม่คุ้นเคยกัน เราทำงานได้ดีขึ้น เมื่อมีแรงจูงใจเดียวกัน
การดูแลพลังงาน พัฒนาสุขภาพกายและจิตด้วยการกิน นอน และเคลื่อนไหวอย่างมีคุณภาพ
งานวิจัยบ่งชี้ว่าการอดนอนส่งผลต่อร่างกายไม่ต่างจากการดื่มแอลกอฮอล์ สุขภาพจึงต้องมาก่อนเสมอ เพื่อให้เรามีเชื้อเพลิงไปทำอะไรที่มีประโยชน์ต่อไปได้
ให้เราลองจัดระเบียบอาหารรอบตัว การวางอาหารที่มีประโยชน์ไว้ใกล้ตัวและเก็บที่มีประโยชน์น้อยให้ไกลๆ ก็ช่วยให้เรากินอาหารที่ดีขึ้นได้ รวมถึงเคล็ดลับการต่อสู้กับภาวะนั่งนานที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
การขยับตัว ทำกิจกรรมต่างๆ ทุกชั่วโมง กระฉับกระเฉง จะช่วยให้เรามีกำลังมากขึ้น แม้เป็นช่วงสั้นๆ ก็ช่วยให้เรามีสมาธิ เรียนรู้ได้มากขึ้น อารมณ์ดีมากขึ้น
ทุกชั่วโมงที่เราได้นอนหลับนั้น ไม่ได้ให้เราเสียเวลา แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต ช่วยให้เราเติมพลังด้านบวกในวันรุ่งขึ้น