#priwreadbooks It Doesn’t have to be crazy at work ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน !
#AmarinHowTo Jason Fried, David Heinemeier Hansson เขียน จินดารัตน์ ธรรมรงวุทย์ แปล
เป็นไปได้ไหมที่จะทำงานที่เรารักโดยไม่ต้องรู้สึก อยากจะบ้าตาย! อยู่ตลอดเวลา คำตอบคือ เป็นไปได้
ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็พอแล้ว มีเวลาส่วนตัวเต็มที่ จังหวะก้าวของวันที่กำลังสบาย ไม่มีงานวันเสาร์อาทิตย์
สองเหตุผลที่ทำให้เรากลายเป็นคนทำงานแทบบ้าตาย
1) เวลาทำงานของคุณถูกซอยย่อย เพราะโดนรบกวนตลอดเวลา
2) ความหมกมุ่นเกินพอดีว่าจะต้องเติบโตโดยไม่สนว่าต้องแลกกับอะไร
การทำงานให้ทัน ไม่ใช่การเพิ่มชั่วโมงการทำงาน แต่เป็นการลดเรื่องงี่เง่าลง ลดสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ
ถ้าต้องทำงานแทบบ้าตลอดเวลา มีสองคำจะแนะนำคุณ คือ ช่างแม่ง และพอเถอะ
คนเราประสบความสำเร็จได้ เพราะมีความสามารถ ความโชคดี อยู่ถูกที่ ถูกเวลา รู้วิธีการทำงานกับคนอื่น รู้วิธีขายความคิด รู้ว่าอะไรขับเคลื่อนผู้คน รู้จักเล่าเรื่อง รู้ว่ารายละเอียดไหนสำคัญและไม่สำคัญ เห็นภาพใหญ่และภาพเล็กในทุกสถานการณ์ รู้ว่าจะทำยังไงกับโอกาสที่ได้รับ และเพราะเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นจงลบความเชื่อเรื่องการทำงานแทบล้มประดาตายออกไปจากสมองเสียเถอะ
คุณไม่มีทางทำงานหนักกว่าคนทั้งโลกได้หรอก แถมการทำงานหนักกว่าไม่ได้การันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากกว่าด้วย
ถ้าคุณไม่อาจเป็นเจ้าของเวลาส่วนใหญ่ของตัวเองได้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ใจจะสงบ คุณจะตึงเครียดอยู่เสมอ รู้สึกเหมือนถูกปล้นชิงความสามารถในการทำงานของตัวเองไปจริงๆ
เลิกกลัวตกข่าว หันมาตกข่าว และสนใจงานในมือคุณเถอะ
ควบคุมความทะเยอทะยาน ทำดีที่สุด ณ จุดที่ยืน
มองบริษัทเป็นสินค้า ความเป็นไปได้ในการพัฒนาทุกรูปแบบจะปรากฏขึ้น เมื่อคุณรู้ว่าวิธีการทำงานของคุณนั้นปรับแต่งได้ คุณจะเริ่มปลุกปั้นอะไรใหม่ๆ ที่ดีกว่าขึ้นมา
ที่ Basecamp เราทำโปรเจ็คกันคราวละ 6 สัปดาห์ แล้วก็พักงานไป 2 สัปดาห์เพื่อเที่ยว เที่ยวจริงๆ แบบที่ไม่ต้องคิดถึงเรื่องงาน และมีเงินให้สำหรับการเที่ยวนั้น แทนการให้เงินโบนัส
แผนระยะยาวยังปลูกฝังความเชื่อผิดๆ เรื่องความมั่นคง ยิ่งอยู่ไกลเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดูคลุมเครือมากเท่านั้น เมื่อคุณยึดแผนระยะสั้น ก็ย่อมเปลี่ยนใจได้บ่อย
บริษัทไม่ใช่ครอบครัว เขาคือผู้สนับสนุนครอบครัว คือพันธมิตรของครอบครัว ไม่ต้องทำงานดึกดื่น โดดวันพักร้อนเพื่อฝ่าขีดจำกัด อย่าลืมผลประโยชน์ของตัวเอง
ประชุมน้อย ไม่ต้องเร่งรีบกระหืดกระหอบ เดดไลน์ที่ทำได้จริง ไม่ต้องรีบตอบกลับโดยไม่คิด มีเวลาไตร่ตรอง
การมีสถานะ “Available” ในโปรแกรมทำงาน เหมือนการติดป้าย “มากวนฉันสิ” ฉะนั้น ลองตั้ง “Away” สักสามชั่วโมงสิ พนันได้เลยว่าคุณทำงานได้เสร็จมากกว่าเวลาแปะป้ายว่า Away
ไว้จะติดต่อกลับ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น รอบ้างก็ได้ ฟ้าไม่ถล่ม บริษัทไม่เจ๊งหรอก แต่จะกลายเป็นสถานที่ทำงานที่สบายขึ้น เย็นขึ้น สงบขึ้นสำหรับทุกคน
เกือบทุกอย่างรอได้ และเกือบทุกอย่างควรรอด้วย
การประชุมที่คนนั้นพูดนิด แจ้งแผนการหน่อย แล้วคนต่อไปก็ทำเหมือนกัน มันเสียเวลาเปล่า เพราะแม้ว่าจะใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง แต่การที่แปดคนมารวมกันหนึ่งชั่วโมงนั้น ไม่ได้เสียเวลาแค่หนึ่งชั่วโมง แต่หมดถึงแปดชั่วโมง
การบ้างานเป็นโรคติดต่อ คุณหยุดแพร่กระจายได้ ถ้าคุณเองเป็นคนนำมันเข้ามาที่ออฟฟิศ
ในฐานะเจ้านาย ถ้าคุณอยากให้พนักงานลาพักร้อน คุณก็ต้องไปพักร้อน ถ้าอยากให้พวกเขาหยุดเมื่อป่วย คุณจะมาออฟฟิศทั้งที่จามอยู่ไม่ได้
ในฐานะผู้นำองค์กร คุณต้องหักห้ามใจอย่างมากในการโยนไอเดียใส่คนอื่นๆ
ได้นอนเต็มตื่น มีอำนาจในงานตัวเองเพียงพอ ทำงานจากที่ไหนก็ได้
วิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดแล้วว่าการอดนอนต่อเนื่องทำลายไอคิว ลดทอนความคิดสร้างสรรค์ ความอดทน ความเข้าใจ และความอดทนอดกลั้น บางครั้งเหตุฉุกเฉินบังคับให้คุณต้องใช้เวลาเพิ่ม บางครั้ง deadline ก็เลื่อนไม่ได้ และต้องลงแรงหนักเป็นพิเศษช่วงท้าย นั่นเป็นเรื่องปกติ แบบนั้นไม่เป็นไรหรอก เพราะคุณไม่ได้เหนื่อยหมดเรี่ยวหมดแรงไปตลอด แค่ชั่วคราวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว งานไม่ได้สำคัญไปกว่าการนอน การโต้รุ่งคือธงแดง ไม่ใช่ไฟเขียว เพราะแทบทุกอย่างรอจนเช้าได้ทั้งนั้น
คุณต้องเป็นคนดี คนที่ทีมงานที่เหลืออยากทำงานด้วย ไม่ใช่แค่ใครสักคนที่พวกเขาจะทนได้ คุณทำงานเก่งแค่ไหนไม่สำคัญ ถ้าคุณงี่เง่า ก็ไม่มีทางชดเชยเรื่องนี้ได้ ถ้าคุณผ่านเกณฑ์ที่ว่ามานี้ เราจะจ้างผู้สมัครรอบสุดท้ายให้ทำงานจริงๆ คนละหนึ่งสัปดาห์ เพื่อดูว่าเขาทำงานจริงๆ เป็นอย่างไร
ที่นี่เราไม่ต่อรองเงินเดือน ทุกคนที่รับหน้าที่เดียวกันในระดับเดียวกัน จะได้ค่าจ้างเท่ากัน ทำงานเท่ากันจ่ายเท่ากัน เราการันตีว่าคุณจะได้เงินเทียบเท่ากับ 10% แรกของตลาดซานฟรานซิสโก และไม่สนว่าคุณจะนอนอยู่ท่ีไหน
ที่นี่เราไม่มีสวัสดิการอะไรให้คนมาอาศัยอยู่ในออฟฟิศ เราให้สวัสดิการที่ช่วยให้คนหลุดพ้นจากงานแล้วไปใช้ชีวิตที่น่าสนใจกว่า ดีต่อสุขภาพกว่า และได้ประโยชน์กับตัวพวกเขาจริงๆ เช่น เงินไปเที่ยวปีละ $5,000, หยุดสามวันต่อสัปดาห์ในฤดูร้อน, หยุดยาว 30 วัน ทุกๆ สามปี, ค่าเรียนอะไรก็ได้ $1,000/ปี, สมทบการกุศล $2,000, ค่าผลผลิตทางการเกษตรใกล้บ้านคุณ, นวดเดือนละครั้งที่สปาจริงๆ, กิจกรรมเพื่อสุขภาพเดือนละ $100
วงจรการตัดสินใจจะช้าแค่ไหน ถ้าต้องมาโน้มน้าวผู้บริหาร ที่ Basecamp เราใช้หลัก “ผมไม่เห็นด้วย แต่มาลงมือทำกันเถอะ” ไม่ต้องเสียพลังงานในการโน้มน้าวทุกคนให้เห็นด้วยในการจะเดินหน้าอะไรสักอย่างต่อ แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องควรได้รับคำอธิบายอย่างชัดเจนถึงการตัดสินใจขั้นสุดท้ายนี้ก่อนลงมือ
การไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นทางเลือก และบางทีก็เป็นทางเลือกที่ดีด้วย
ถ้าลูกค้าไม่ต้องการเปลี่ยนเวอร์ชันการใช้งาน เราให้คำแนะนำ เรามีเวอร์ชันใหม่ที่ดีกว่าให้ แต่เขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน มันคือการแนะนำ ไม่ใช่การบังคับให้ทำ
ไม่ต้องยอมแลกทุกอย่าง รู้จัก “ไม่” เสียบ้าง ไม่ต้องเรียลไทม์ ไม่ต้องตอบสนองแบบทันที
ให้ทีมงานควบคุมสิ่งที่สำเร็จลุล่วงได้ตามสมควรในเวลาที่กำหนด อย่าดึงคนออกจากงานที่ยังไม่เสร็จเพื่อโดดไปทำงานอีกอย่าง
ทุกคนอยากมีคนรับฟังและเคารพ เลือกให้ดีว่านี่ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่” หรือ “นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย” โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานที่เจอหน้ากับลูกค้าโดยตรง
ความสุขในโลกการทำงานนั้นเป็นจริงได้ และเราเป็นคนกำหนดมันได้เอง
เป็นหนังสือที่บางจุดเหมือนโดนมีดแทงใส่ตัวเอง (ใช่ค่ะ เป็นคนบ้างาน แต่ก็มีเวลาส่วนตัวในการทำนู่นนี่อยู่นะ! //พยายามเถียง) ในขณะเดียวกัน ก็คิดถึงเพื่อนร่วมงานบางคนที่เป็นแบบนี้ด้วย ><”
ขอบคุณเก้าที่ให้ยืมมาอ่าน โดยที่เจ้าตัวยังอ่านค้างอยู่ที่ครึ่งเล่ม (ก็คือปล้นมานั่นเอง)