#priwreadbooks The Power of Output ศิลปะของการปล่อยของ
#SandClockBooks ชิออน คาบาซาวะ เขียน อาคิรา รัตนาภิรัต แปล
“คุณคิดว่า คนที่อ่านหนังสือเดือนละ 3 เล่ม กับ 10 เล่ม ใครจะพัฒนาได้มากกว่ากัน”
คนที่อ่านหนังสือมากก็จะมีความรู้มากพอให้นำไปพัฒนาตนเอง แต่ที่จริงแล้วการอ่านหนังสือคือการนำเข้าข้อมูล หรือ Input (อ่าน ฟัง) ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่การจะชี้วัดว่าคนเราได้เกิดการพัฒนาตนเองไปบ้างแล้วหรือยังนั้น ไม่ได้ขึ้นกับปริมาณ Input หากแต่เป็นปริมาณของการ “ปล่อยของออก” หรือสร้าง Output ต่างหาก
อ่านแล้วนำมาใช้ได้จริง ด้วยเทคนิค พูด — เขียน — ทำ จนกลายเป็นวงจรแห่งการเรียนรู้และพัฒนาตนเองที่สมบูรณ์
การรับข้อมูลเข้ามาทีละมากๆ อาจเกิดการตกหล่นไประหว่างทาง หรือสุดท้ายแล้วที่แย่ที่สุด แต่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือการที่เราจำอะไรไม่ได้เลย หรือ เอาอะไรจากหนังสือไปใช้ต่อไม่ได้เลย
หากเรา Input อะไรเข้าไปในหัว การทำ Output ออกมาใช้จริง จะช่วยให้สมองเข้าใจว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ และบันทึกเอาไว้ในความทรงจำระยะยาว
นำข้อมูลมาใช้ 3 ครั้ง ใน 2 สัปดาห์จะกลายเป็นความทรงจำระยะยาว
สมองถูกสร้างมาให้เก็บข้อมูลที่สำคัญ และ ลืมข้อมูลที่ไม่สำคัญทิ้งไป หากไม่นำมาใช้บ่อยๆ ก็จะถูกลืมไปเอง
อัตราส่วนที่ดีที่สุดของ Input : Output คือ 3:7
รับเข้ามา 3 ทำออกไป 7 จงทำแบบฝึกหัดให้มากกว่าการอ่านหนังสือ
พิจารณาผลของ Output แล้วนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในครั้งถัดไป
- มองหา Feedback เพื่อที่ครั้งถัดไปเราจะได้รู้ว่าอะไรดีที่ควรเก็บ อะไรที่ควรปรับปรุง
- ลองให้กว้าง ลองหลายๆ อย่าง ก่อนเจาะลึกไปที่อันใดอันหนึ่ง
- ถามว่า “ทำไม” บ่อยๆ
- ขอคำแนะนำจากคนอื่น
Output คือ พูด เขียน ปฏิบัติ เขียนรีวิว ทำสรุป แสดงความคิดเห็น
- การพูดแบบใส่ความคิดเห็นตัวเองลงไปด้วย จะทำให้เรื่องของคุณมีคุณค่ามากขึ้น
- เพียงแค่ใส่คำพูดในแง่บวกลงไป ก็ทำให้เรามีความสุขแล้ว การทำงาน การดำเนินชีวิต หรือการใช้ชีวิตคู่ก็จะดีขึ้น
- การพูดว่าร้ายคนอื่นเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตในแง่ลบ
- เราเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น 55% ฟังด้วยหู (น้ำเสียง) 38% และคำพูด 7% — เสริมเอง นั่นหมายถึงว่า หากเราต้องการสื่อสารให้ได้ประสิทธิภาพ เราควรจะไปให้ครบ ทั้งการพูด โทนเสียง วิธีพูด และลักษณะท่าทาง (มารยาท สีหน้า สายตา บุคลิก) ทั้งหมด
- เมื่อมี Eye Contact จะทำให้สมองของเราหลั่งโดพามีนออกมา เป็นประโยชน์อย่างมากในการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น
- หากไม่คุ้นชินกับการจ้องมองตาคนอื่น แนะนำให้มองระหว่างตา มองแค่ 1 วินาทีตอนสำคัญ เวลาฟังคนอื่นก็ให้มองตาเขาด้วย
- ลำดับการพูดมีผล พยายามใช้รูปแบบของ Yes How เช่น “พักนี้ยอดขายคุณเพิ่มขึ้น พยายามได้ดีมาก เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำยังไงให้ดีขึ้นไปอีก” (แม้ว่าจริงๆ จะมีปัญหาเรื่องการมาสาย แต่ไม่ได้ระบุถึงเรื่องนี้เลย)
- การทักทายเป็นพื้นฐานของการมีปฎิสัมพันธ์ การพูดทักทายด้วยรอยยิ้มร่าเริงและมี Eye Contact จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคนดีขึ้น
- ความสนิทไม่ได้อยู่ที่เนื้อหา แต่อยู่ที่จำนวนครั้งของการทักทายและพูดคุย ถ้าไม่รู้จะคุยอะไร คุยเรื่องสภาพอากาศก็ได้
- การตั้งคำถามก่อนเริ่มต้น จะช่วยกำหนดทิศทางการเรียนรู้
- คิดแบบ Give and Give ไม่ใช่ Give and Take
- การปฏิเสธอย่างชัดเจน ช่วยให้เรามีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำมากขึ้น
- ตัดสินใจโดยดูจาก ลำดับความสำคัญ ถ้ามันไม่เกี่ยวกับเป้าหมายเราก็ปฏิเสธไปได้เลย และอย่าเลือกปฏิบัติ
- ให้ปฏิเสธด้วยรูปแบบ “ขอโทษ (ขอบคุณ) + เหตุผล + ปฏิเสธ + ข้อเสนอ” เช่น ขอโทษด้วยนะครับ ขอบคุณที่เสนองานนี้ให้ผมนะครับ แต่วันนี้ผมต้องรับส่งลูกไปโรงเรียนพิเศษ (เหตุผล) เลยอยู่ให้ไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าผมจะรีบทำให้เสร็จเลยดีไหมครับ (ข้อเสนอ)
- ความตื่นเต้น หรือ ความเครียด ระดับหนึ่ง (ที่พอเหมาะ) จะช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น
- สิ่งสำคัญคือ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และมีความกล้าเล็กน้อย
- การเตรียมคำถามล่วงหน้า แค่ 10 ข้อ ก็ครอบคลุม 70% ของเนื้อหาแล้ว คำถาม 100 ข้อ จะครอบคลุม 99%
- การแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรกจะส่งผลกระทบอย่างมาก และมักได้บทสรุปตามความคิดเห็นแรก
- เล่าเหตุการณ์ตามลำดับ สมองจะทำการเรียบเรียง ทำให้เรามองเห็นทางออกหรือแนวทางแก้ปัญหานั้นได้ด้วยตัวเอง
- การชม เป็นทั้ง Output และ Feedback ที่บอกให้รู้ว่าอะไรดี ควรทำต่อไป
- การดุ เป็นการบอก Feedback ว่าอะไรไม่ควรทำต่อ และคน 87.7% บอกว่าจำเป็นต่อการพัฒนา ซึ่งการดุนั้นจำเป็นต้องทำบนความเชื่อใจซึ่งกันและกัน หากหัวหน้าที่เราเกลียดมาดุเรา เราก็จะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
- การอยู่เฉยๆ เท่ากับ ไม่พัฒนา
- เวลาที่เราขอบคุณ สมองจะหลั่งสารเคมีซึ่งดีต่อสมองและร่างกายออกมาสี่อย่าง คือ โดพามีน ที่ทำให้เรามีความสุข เซโรโทนิน ที่ทำให้เราผ่อนคลาย ออกซิโทซิน ที่ทำให้เราเกิดความเชื่อใจ และ เอนดอร์ฟิน ทำให้เรามีความสุขและมีสมาธิมากขึ้น
- เขียนด้วยมือ ส่งผลดีกว่าการพิมพ์ ทำให้จำได้นานกว่า และเกิดไอเดียใหม่ๆ มากกว่า (อ้าวฉัน แย่ละ)
- หนังสือที่มีการจดแทรกลงไปเยอะๆ คือ เส้นทางแห่งการเรียนรู้
- หากต้องการจำอะไร ให้เขียนออกมาตอนที่เหตุการณ์เพิ่งเกิดใหม่ๆ
- การวาดรูป ช่วยเพิ่มความสามารถในการจำได้
- สมองคนเรา จดจำข้อมูลต่างๆ ได้แค่ 3 เรื่องเท่านั้น
- เขียนบทความให้เก่ง การเขียนเป็นวิธีง่ายพอที่จะให้คนอื่นมาวิจารณ์และให้ Feedback แก่เรา
- การเขียน To do list ทำให้เรามองเห็นภาพรวมของทั้งวัน ไม่เสียสมาธิ ลดการลืมทำ ช่วยให้เราไม่ต้องใช้ working memory ในการจำไปตลอด — เขียนใส่กระดาษ วางบนโต๊ะเสมอจะได้เห็น ขีดฆ่าเมื่อทำเสร็จ
- 4B: Bathroom, Bus, Bed, Bar เป็นแหล่งที่ไอเดียมักจะเกิดขึ้น ขณะที่เราเหม่อลอย เป็นการเปิด Default mode network ทำให้รีวิวข้อมูลเก่าที่เข้ามาในสมองแล้ว
- 4 ขั้นตอนการสร้างไอเดีย: Input → เหม่อลอย → เกิดไอเดีย → ตรวจสอบไอเดีย ให้เขียนใส่การ์ด (Post-it) เยอะๆ เป็นร้อยยิ่งดี แล้วค่อยจัดกลุ่ม แล้วเลือกอีกที
- ตั้งเป้าหมายที่ทำสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม กำหนดระยะเวลาด้วย และควรทำเป็น To do list ว่าจะบรรลุเป้าหมายอย่างไร แบ่งเป็นเป้าย่อยๆ (ถ้าพยายามก็จะทำได้) ทำ Feedback เป็นประจำ มองย้อนดูเป้าหมายทุกวันว่าเราถึงจุดไหนแล้ว และการบอกเป้าหมายสู่สาธารณะเหมือนเป็น Commitment
“ให้คิดว่า จะทำวันนี้”
“สนุกไปกับมัน”
“แบ่งเป็นเป้าหมายย่อย”
“บันทึกผลการทำงาน”
“ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จ”
- วิธีการสร้าง Output ที่ดีที่สุดและส่งผลต่อการพัฒนาตนเองมากที่สุดคือ การสอน การสอนทำให้เราเห็นได้ชัดว่า ตัวเองเข้าใจดีแค่ไหน ยังบกพร่องตรงไหน ซึ่งเป็นทั้ง Output Feedback และ Input ในตัวเดียวเลย
- มนุษย์เรา Multitask ไม่ได้ เราแค่สลับไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ไร้ประสิทธิภาพ
- การตัดสินใจ 5 วินาที กับ 30 นาที ได้ผลลัพธ์ตรงกันถึง 86% ในงานที่เราเชี่ยวชาญแล้ว ถ้าเวลาไม่เยอะ ให้เลือกอันที่คิดได้ก่อน
- การพูดออกมาว่าเจ็บ จะทำให้เจ็บจริงๆ น้อยลง การบอกว่าอึดอัด หรือเหนื่อย ก็จะส่งผลเช่นเดียวกัน
- การทำอะไรสักอย่าง ไม่ควรหวังว่ามันจะสมบูรณ์ 100% ตั้งแต่ครั้งแรก
- เมื่อเรายิ้ม ความตื่นตระหนกจะคลายลง และรู้สึกมีความสุขขึ้นภายใน 10 วินาที
- น้ำตาช่วยคลายเครียดได้
- เวลาที่โมโห สูดหายใจเข้าลึกๆ ถ้าทนได้ 30 วินาที จุดสูงสุดของความโกรธจะผ่านไปเอง
- มีสมาธิ 15 นาที ย่อมทำให้เรียนหรือทำงานได้ดีกว่า 60 นาทีแบบขอไปที
- หากเราดูเรื่องความรู้สึกกับชั่วโมงนอนคู่กัน จะพบว่า วันไหนนอนน้อยก็จะอารมณ์ไม่ดีตาม
- Structure ในการเขียนรีวิวหนังสือที่แนะนำคือ Before + เรื่องที่ค้นพบ + To do หรือ Before After ก่อนอ่านเราเจอปัญหาอะไร อ่านแล้วเราค้บพบอะไร แล้วจะเอาสิ่งที่พบไปใช้ทำอะไรได้ยังไง เวลาเริ่มเขียน ก็ เขียนแค่ สามบรรทัดก่อน เอามาแค่หัวข้อกว้างๆ แล้วค่อยเติมเข้าไปทีละน้อย
- กฏ 100–300–1,000 อย่าคิดว่าโพสต์ลง Social Media แล้วจะดังเลย ปกติจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทุก 100, 300 และ 1,000 โพสต์ หรือ ประมาณ สามปี
Output ที่ทำเป็นปกติ คือ อ่านหนังสือแล้ว (บังคับ) ตัวเองให้เขียน Blog ซึ่งนั่นก็เป็นการพิมพ์อยู่ดี พออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดว่า หรือฉันต้องไปเขียนลายมือหรือทำอะไรด้วยมือแทนดีนะ จะได้จำได้ หลายๆ เรื่องเป็นสิ่งที่เคยรู้แล้ว แต่อ่านซ้ำอ่านอีก ก็สนุกดี แถมสิ่งที่จำได้ออกไปเลย 3 เรื่อง ก็คือ
- ทำซ้ำสามครั้งภายในสองสัปดาห์
- ถ้าจะสื่อสารให้ได้ประสิทธิภาพมากสุด ต้องไปให้ครบ 7–38–55
- การทำอะไรครั้งแรก มันไม่มีทาง Perfect 100% (เอาไว้ปลอบใจตัวเองนี่แหละ)
ขอบคุณพี่นุ่นที่ให้ยืมมาอ่านฮะ