#priwreadbooks ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาว พอที่จะอยู่อย่างอดทน

Parima Spd
2 min readAug 6, 2024

--

#WeLearn ซูซูกิ ยูซึเกะ เขียน ชลฎา เจริญวิริยะกุล แปล

แด่คนที่ทนฝืนใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น…

คนเดี๋ยวนี้เก่งกับการทนจนหมดแรง ฝืนความรู้สึกยอมทรมานกับสิ่งที่ตนไม่ชอบและสุดท้ายยอมเจ็บปวดกับความสัมพันธ์ สังคมที่วัดกันตรงความกินดีอยู่ดี ความมั่นคงปลอดภัยกลายเป็นเรื่องธรรมดา การด้อยค่าเป็นเรื่องปกติ ไม่แคร์หรือให้ความสำคัญกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต

“ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา” “ฉันทำความสุขหล่นหายไปตอนไหน” “ความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไรกันนะ” นั่นคือสิ่งที่จิตแพทย์อย่าง ซูซูกิ ยูซึเกะ ได้ยินซ้ำๆ เมื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้คนที่ใช้ชีวิตโดยแบกความทุกข์ติดตัวราวกับถูกบังคับให้มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น ไม่ใช่ตัวเอง

แต่ชีวิตไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน

เพื่อชีวิตที่ปลอดโปร่งสบายใจ เลิกฝืนทำสิ่งที่ตัวเองรู้สึกแย่ เลิกเดินตามความคาดหวังของคนอื่น และหันมาใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อตัวเองจริงๆ สักที

  1. เมื่อใช้ชีวิตอยู่กับ “ระบบคุณค่าของคนอื่น” มาตั้งแต่เด็ก เราจะแยกแยะ “สิ่งที่ตัวเองอยากทำ” กับ “สิ่งที่ถูกคนอื่นยัดเยียดให้อยากทำ” ไม่ออก เส้นทางที่ใครๆ ก็เดินไปนั้นดูปลอดภัยก็จริง แต่มันก็หนาแน่นและการแข่งขันสูงลิ่ว ทำให้เราต้องคอยตอบสนองความคาดหวังของคนอื่นเรื่อยไป การออกนอกเส้นทางบ้างจะช่วยให้ได้เราเห็นโลกที่อยู่ง่ายขึ้น
  2. คนส่วนใหญ่ทำตามกฎที่คนอื่นและสังคมกำหนด ให้ความสำคัญกับมันมากกว่ากฎของตัวเอง และพยายามอดทนมากเกินจำเป็น ยิ่งเราเป็นคนที่ยอมรับกฎเกณฑ์ที่คนอื่นขีดให้เท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะประสบวิกฤติวัยกลางคนมากขึ้นเท่านั้น
  3. คำว่าวิกฤตวัยกลางคนนั่นคือ ภาวะวิกฤตในเชิงจิตวิทยาที่เกิดขึ้นกับคนวัยกลางคน ว่ากันว่าคนอายุ 36 ถึง 50 ปีทั้งหญิงและชาย ที่ประสบปัญหานี้มีอยู่มากถึง 80% เลยทีเดียว จะเริ่มตั้งข้อสงสัยกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ผ่านมา รวมถึงการเริ่มรู้สึกว่าชีวิตไร้คุณค่าขึ้นมาด้วย และพร้อมกันนั้น ความรู้สึกอยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเองก็จะเพิ่มมากขึ้น จนอดทบทวนรูปแบบและความหมายของชีวิตตัวเองไม่ได้ว่า สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นสิ่งที่อยากทำจริงๆ เหรอ น่าจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่ามากกว่านี้
  4. ให้คุณยอมรับกับตัวเองว่าไม่ชอบคนที่มีนิสัยแบบไหน แล้วให้สร้างระยะห่างกับคนที่มีนิสัยแบบนั้น การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้คนคนนั้นล้ำเส้นคุณได้ตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความอึดอัดใจและความเครียด
  5. ถ้ารู้สึกขุ่นมัวกับพฤติกรรมใด ให้คิดไว้ก่อนเลยว่ามีความเป็นไปได้ที่คุณจะถูกล้ำเส้นเข้าแล้ว เมื่อคุณตระหนัก คุณจะเริ่มเข้าใจว่าตัวเองไม่อยากถูกกระทำแบบไหน อะไรบ้างที่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต และอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีจริงๆ แล้วคุณก็จะได้ใช้ชีวิตด้วยเรื่องราวของตัวเองอย่างแท้จริง
  6. เวลาที่จิตใจอ่อนแอ จงถอยห่างจากคนที่ตัดสินคุณ การจะเจอกับ “ใคร” จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คนที่คุณใช้เวลาด้วยในยามที่จิตใจอ่อนแอควรเป็นคนที่ทำให้คุณรู้สึกว่า “ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอกัน” ไม่ใช่ “ไม่น่าเจอเลย”
  7. คุณไม่ได้ทำงานเพื่อเอาความอดทนไปแลกเงิน ความอดทนเป็นทักษะที่ควรใช้ก็ต่อเมื่อมันเป็นการอดทนต่อ “ความยากลำบากในระยะสั้น” เพื่อ “ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว” เท่านั้น หากคุณฝืนทนเก็บความรู้สึกโกรธ เศร้า หรือทรมานเอาไว้ คุณจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้ความต้องการของตัวเอง
  8. พิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่า การอดทนมีประโยชน์ (ข้อดี) กับตัวเองหรือเปล่า ประโยชน์เหล่านั้นคือสิ่งที่ต้องการหรือไม่ และข้อดีนั้นเหมาะสมกับราคา เช่น เงิน เวลา พลัง หรือความเครียด ที่ต้องจ่ายไปหรือเปล่า กำหนดระยะเวลาที่ต้องอดทนไว้หรือเปล่า ถ้าข้อดีไม่เหมาะสมกับราคาที่ต้องจ่าย หรือต้องอดทนอย่างไม่มีกำหนด อาจเรียกได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ควรหาข้อสรุปของตัวเอง แล้วปฏิเสธให้เป็นดีกว่า
  9. จงขอโทษเพื่อเยียวยาความสัมพันธ์เท่านั้น อย่าขอโทษเพียงเพราะว่าคุณไม่สามารถทำตามความต้องการของอีกฝ่ายได้ และอย่าขอโทษเพียงเพราะความรู้สึก “อยากได้รับการให้อภัย” แต่จงขอโทษเมื่อคุณสร้างความเดือดร้อนและความเสียหายให้กับอีกฝ่าย คุณได้ใคร่ครวญถึงความเจ็บปวดนั้นอย่างจริงจังแล้ว และอยากขอโทษเพื่อเยียวยาความสัมพันธ์
  10. ความรู้สึกผิดนั้นบางทีก็เกิดจากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หลายคนรู้สึกผิดเพียงเพราะว่าตัวเองไม่อยากถูกเกลียด เมื่อ “ความรู้สึกผิดที่ไม่จำเป็น” เข้าครอบงำ คุณจะยอมทำตามในสิ่งที่คนอื่นต้องการ ทั้งที่ไม่ใช่ความต้องการของคุณเลย มันอาจส่งผลให้คุณเสียใจ เกลียดตัวเอง หรือถึงขั้นลดคุณค่าในตัวเอง คุณต้องให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันดับแรก
  11. I message คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยฉัน “ฉันเสียใจที่โดนว่าแบบนี้” “ฉันไม่สบายใจที่เจอแบบนี้” ส่วน You message คือประโยคที่มีคำว่า “คุณ” เป็นประธาน เช่น “ทำไมคุณถึงทำแบบนี้” “คุณพูดแบบนี้ไม่ได้นะ” เมื่อเราใช้ You message คนฟังจะเหมือนถูกโจมตี เราจึงควรหลีกเลี่ยง You message และเน้นการใช้ I message ในการพูดคุยกับคนสำคัญ
  12. เรื่องไหนไม่ชอบก็หนีซะ เคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจคือ “ถอยห่างจากสิ่งที่ไม่ชอบ” “ปฏิเสธสิ่งที่ไม่ต้องการ” และ “เลิกทำสิ่งที่ไม่เหมาะกับตัวเอง”
  13. การแบกภาระที่คนอื่นไหว้วานคือการยอมให้ดูดพลังชีวิต ถ้ามันเกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้งก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องทำบ่อยๆ ก็เท่ากับว่าคุณเอาพลังงานกับเวลาของตัวเองไปให้คนอื่นเป็นประจำ ต่อไปอาจจะเกิดการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวตามมาได้ ถ้าเราเอ่ยปากแล้วแต่ยังมีบางคนคอยล้ำเส้นเราอยู่เรื่อยๆ นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรา เราจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจคนที่ไม่เห็นว่าเราสำคัญ
  14. โลกทุกวันนี้มีคอนเทนต์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน คอนเทนต์อย่างนิยาย การ์ตูนอะนิเมชั่น หรือเกมก็เป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจและชีวิตของผู้คนมานักต่อนัก ลองเจียดเวลาแค่วันละ 1 นาทีเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุกจากใจจริงดู
  15. คนที่มีพลังบวกมากเกินไปอาจเป็นพิษกับจิตใจที่อ่อนแอของเราได้ เพราะเขาไม่อาจเข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ และอาจยิ่งกระตุ้นความรู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ได้เรื่อง เวลาเรากำลังคิดว่า “อยากหายไปจากโลกนี้” คำพูดปลอบประโลมอย่าง “อย่าพูดอย่างนั้นสิ” หรือ “เธอมีค่ามากพอนะ” มันดังไม่ถึงหัวใจของเราหรอก
  16. เรียนรู้วิธีหยุดพัก ที่จะนำตัวเองกลับคืนมา หา “เวลาพัก” ให้ร่างกาย เพื่อฟังเสียงของร่างกายได้ชัดเจนขึ้น ลองทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ออกไปสถานที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบ แล้วนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยนอกจากการหายใจ พร้อมกับจินตนาการว่าอากาศที่สูดขึ้นมาจากปลายเท้าช่วยปัดเป่าสิ่งที่ไม่ชอบให้ปลิวออกไปพร้อมกับลมหายใจออก การหาเวลาว่างที่ว่างจริงๆ จะเป็นบันไดไปสู่การสร้างทักษะ ในการรับรู้ความสบายใจของร่างกาย และช่วยให้หยุดพักได้อย่างชำนาญขึ้นด้วย
  17. คุณค่าของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชัยชนะหรือการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น การแขวนความสุขไว้กับการต้องเอาชนะไปเรื่อยๆ นั้นมีราคาแพง หากไม่ยึดติดและพยายามไขว่คว้าความสุขจอมปลอมเหล่านั้น พวกเขาคงรู้ว่าสิ่งที่ใจต้องการคืออะไรได้เร็วขึ้น แล้วค้นหาสิ่งนั้นเจอ อาจพูดได้ว่าพวกเขามีโอกาสสูงมาก ที่จะได้ความสุขที่แท้จริงมาครอบครอง ชีวิตมนุษย์ไม่ได้ยืนยาวอะไรมากมาย ควรสลัดกฎของคนอื่นที่ผูกมัดไว้ออกไป แล้วรีบหาโอกาสในการใช้ชีวิตใหม่ ตามกฎของตัวเองดีกว่า
  18. แค่เขียนปัญหาหรือความกลุ้มใจใส่กระดาษ ก็เก็บรักษาการเห็นคุณค่าในตัวเองเอาไว้ได้แล้ว การย้อนกลับไปทบทวนตัวเองจะช่วยให้เห็นคุณค่าในตัวเอง และเกิดความกล้าที่จะปฏิเสธได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการย้อนกลับไปทบทวนตัวเองอย่างปราศจากอคติ จะทำให้เกิดความตระหนักในเส้นแบ่งระหว่างตัวเองกับคนอื่น พื้นที่ที่ตัวเองต้องปกป้อง และสิ่งที่ต้องการจริงๆ วิธีที่ได้ผลดีก็คือ การแปลงความคิดเป็นคำพูด คือการนำปัญหาและความกลุ้มใจที่อยู่ภายในออกไปไว้ภายนอก ด้วยการเปลี่ยนความคิดหรือความรู้สึกที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปประธรรมหรือคำพูด ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น เขียนลงกระดาษ
  19. มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งอายุมากเท่าไหร่ประสบการณ์ก็ย่อมจะมากตามไปด้วย แต่การใช้อายุเป็นกรอบในการคิดหรือตัดสินเอาดื้อๆ เป็นสิ่งที่ไร้สาระเอามากๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการเติบโตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากตัดสินคนอื่นโดยใช้แค่อายุทั้งที่ยังไม่รู้จักเขาดี ก็มีโอกาสสูงที่จะมองข้ามหลายๆ อย่างที่สำคัญไป นอกจากอายุกรอบที่ผูกมัดมนุษย์ส่วนใหญ่เอาไว้ก็คือเพศ การเอาเรื่องเพศมาเป็นเหตุผลไม่ได้ทำให้สิ่งที่อยากทำ หรือใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
  20. อย่าตัดสินใจเรื่องสำคัญเวลาหดหู่ ตอนที่หดหู่ไม่ว่าอย่างไรก็จะดูถูกและมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง หากพยายามตัดสินใจเรื่องสำคัญในเวลาแบบนี้ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะเลือกตัวเลือกที่เป็นเชิงลบ
  21. ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบมากเท่านั้น การตัดสินใจหลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะช่วยลดโอกาสที่ต้องมาเสียใจภายหลังได้อย่างมาก

ขอบคุณหงส์ที่ให้ยืมมาอ่านจ้า

--

--

Parima Spd
Parima Spd

Written by Parima Spd

I enjoy reading and writing. Continue to learn and try new things to improve. Before you die, explore this world.

No responses yet