#priwreadbooks ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ
#Bibli Sōsuke Natsukawa เขียน ฉัตรขวัญ อดิศัย แปล
ร้านหนังสือนัตสึกิ เป็นร้านขายหนังสือมือสองเล็กๆในมุมหนึ่งของเมือง ร้านขายหนังสือมือสองแห่งนี้ขายหนังสือโดยไม่สนใจแนวโน้มความนิยม หนังสือที่เลิกตีพิมพ์แล้วก็มีไม่น้อย น่าทึ่งที่ปัจจุบันธุรกิจยังคงอยู่ได้ด้วยหนังสือเหล่านี้
นัตสึกิ รินทาโร่ นักเรียนหนุ่มมัธยมปลาย อาศัยอยู่กับปู่ที่เป็นเจ้าของร้านหนังสือเก่าแห่งนี้ เมื่อปู่เสียชีวิตกะทันหัน เด็กหนุ่มได้รับสืบทอดกิจการ แต่ตัวเขากลับไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ในตอนนั้นเอง “โทระ” แมวลายส้มพูดได้ที่แอบอยู่ในร้านก็ปรากฏตัว แมวตัวนี้ขอให้รินทาโร่ร่วมเดินทางไปปกป้องหนังสือให้พ้นจากเงื้อมมือของ “ศัตรู” ที่เกลียดชังหนังสือ การผจญภัยในเขาวงกตของคนกับแมวจึงเริ่มต้นขึ้น
พวกเขาประสบกับเหตุการณ์น่าอัศจรรย์มากมาย ศัตรูที่พานพบต่างอ้างสารพัดเหตุผลอันชอบธรรมเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชนะในโลกนี้ คำกล่าวอ้างของคู่ต่อสู้ตัวฉกาจเริ่มทำให้เขาไขว้เขวว่าสิ่งใดคือความจริงกันแน่ รินทาโร่ต้องเจอกับผู้กักขัง ผู้ตัดฉับๆ ผู้ขายดี และเขาวงกตแห่งสุดท้าย หนังสือที่ไม่มีหัวใจ ที่ต่างสะท้อนความเป็นจริงของการอ่านหนังสือในปัจจุบัน
ผู้กักขัง
ชายผู้อ่านหนังสือกว่าห้าหมื่นเล่ม ตั้งใจอ่านให้ได้เดือนละ 100 เล่ม และไม่หยิบหนังสือเล่มเก่ามาอ่านซ้ำ
“โลกนี้มีหนังสือมากมายก่ายกอง ผลงานจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกาลเวลากลืนหายไป ทุกวันนี้ก็ยังผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ฉันไม่ว่างพอจะมาอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกหรอก”
“ในโลกนี้มีคนมากมายก่ายกองที่ถูกเรียกว่านักอ่าน แต่คนที่อยู่ในฐานะอย่างฉันต้องอ่านหนังสือให้มากกว่าคนพวกนั้น คนที่อ่านหนังสือสองหมื่นเล่มย่อมมีคุณค่ามากกว่าคนที่อ่านหมื่นเล่ม แค่นี้ฉันก็มีหนังสือที่ต้องอ่านกองเป็นภูเขาเลากาแล้ว ถ้าจะอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเสียเวลาไปเปล่าๆ”
เราจำเป็นที่จะต้องอ่านหนังสือให้มากที่สุด และไม่ควรกลับไปอ่านซ้ำเล่มเดิมหรือ
ผู้ตัดฉับๆ
เขาถือหนังสือในมือซ้าย และใช้กรรไกรในมือขวาตัดหนังสือเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“โลกนี้มีหนังสือมากมายนับไม่ถ้วน ในขณะที่มนุษย์อย่างพวกเรายุ่งจนเกินไป จึงไม่มีเวลาอ่านได้ทุกเล่ม แต่เมื่อใดที่งานวิจัยของฉันเสร็จสมบูรณ์ ผู้คนจะสามารถอ่านหนังสือได้วันละหลายสิบเล่ม ไม่ใช่แค่หนังสือติดอันดับขายดีที่อยู่ในกระแสนิยม แต่ยังอ่านเรื่องราวที่สลับซับซ้อนและหนังสือปรัชญายากๆ ได้ภายในชั่วอึดใจ”
หากเราอ่านหนังสือจบได้วันละหลายสิบเล่ม แต่อ่านได้เพียงเรื่องย่อหรือสรุป จะสามารถพูดได้เต็มปากไหมว่าเราอ่านหนังสือจบ
ผู้ขายดี
ประธานของสำนักพิมพ์อันดับหนึ่งของโลกซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ขายหนังสือในปัจจุบันที่ต้องการให้หนังสืออยู่รอด มีคนซื้อ จึงตีพิมพ์แต่หนังสือที่ขายดีและเป็นประเภทที่คนชอบ
“สำนักพิมพ์ของเราไม่ได้ผลิตหนังสือเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่าง แต่ผลิต ‘หนังสือที่สังคมต้องการ’ ไอ้ข้อความที่ควรถ่ายทอด ปรัชญาที่ควรบอกเล่าต่อชนรุ่นหลัง ความจริงอันโหดร้าย หรือสัจธรรมเข้าใจยากพวกนั้น ช่างหัวมันเถอะ สังคมไม่ได้ต้องการของเหล่านั้น สิ่งสำคัญสำหรับสำนักพิมพ์ไม่ใช่การครุ่นคิดว่า ‘ควรบอกอะไรกับโลกใบนี้’ แต่เป็นการรู้ว่า ‘โลกอยากให้เราบอกอะไร’ ต่างหาก”
“สำหรับนักอ่านที่อยากได้แค่ความตื่นเต้น หนังสือที่บรรยายฉากรุนแรงหรือเพศสัมพันธ์อย่างโจ่งแจ้งจะขายดีที่สุด ส่วนนักอ่านที่ขาดจินตนาการ แค่เราเพิ่มคำโฆษณาเข้าไปว่า ‘เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง’ ยอดตีพิมพ์ก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์ ยอดขายก็พุ่งถล่มทลาย น่ายินดีสุดๆ ไปเลย”
ไม่ว่ายังไงก็ตาม คนอยากให้หนังสืออยู่รอด ก็คือคนที่ชอบหนังสือ แล้วผู้ผลิตหนังสือควรจะผลิตแต่หนังสือที่ขายดีเท่านั้นหรือ
ยิ่งเรื่องราวดำเนินไป รินทาโร่ก็ยิ่งเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและกล้าหาญ เขาชี้ให้ศัตรูเหล่านั้นเข้าใจถึงความวิเศษของหนังสือ พร้อมกับได้แก้ไขปมบางอย่างในใจของตัวเอง
“บางทีหนังสืออาจสอนให้เรารู้จักความห่วงใยต่อผู้อื่น เพราะมนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงลำพัง”
หนังสือเล่มโปรดของแต่ละคนคืออะไร ปีหนึ่งเราอ่านหนังสือกันกี่เล่ม หนังสือหนึ่งเล่มเราอ่านได้เร็วแค่ไหน และทุกวันนี้เราอ่านหนังสือไปเพื่ออะไร
“การอ่านหนังสือไม่ควรหวังแค่ความสำราญหรือความน่าตื่นเต้น บางครั้งเราต้องดื่มด่ำไปทีละประโยค อ่านเนื้อหาเดิมซ้ำไปซ้ำมา หรืออ่านช้าๆ พร้อมกับกุมขมับไปด้วย งานที่ยากลำบากนั้นช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เราแบบไม่ทันตั้งตัว เหมือนเวลาปีนถึงยอดเขาแล้วเห็นทิวทัศน์กว้างไกล”
นี่คือเรื่องราวที่จะสะท้อนคุณค่าที่แท้จริงของหนังสือ และหัวใจของคนชอบอ่านหนังสือ