#priwreadbooks วิชาธุรกิจที่ชีวิตจริงเป็นคนสอน
#สำนักพิมพ์อะไรเอ่ย ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์ เจ้าของเพจ Trick of the Trade เขียน
เนื้อหาจะถูกแบ่งออกเป็น 9 หมวดย่อย เพื่อความสะดวกสำหรับผู้อ่านในการที่จะมาค้นหาคำตอบบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยเนื้อหาจะถูกเขียนสรุปให้เป็นข้อสั้น ๆ และไม่ได้มีคำอธิบายหรือตัวอย่างอะไรมากมายเกินไป นอกจากนั้น ยังมีบางบทที่ออกแบบไว้เหมือน checklist เหมือนเป็นการได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของตนเองไปด้วย ได้แก่
- ทิศทางของเศรษฐกิจไทย
- ชุดความคิดของผู้ประกอบการ
- คนอื่นที่อยู่รอบตัวเรา
- เงินและทรัพย์สินของธุรกิจ
- เรื่องของแบรนด์และโมเดลธุรกิจ
- เทคนิคการตลาด
- คู่แข่งและการแข่งขัน
- อย่ายอมแพ้
- บทอำลา
ผู้เขียนเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยนับจากนี้ไปจะมีแต่แย่ลง
- ภาคการเกษตร
ที่เป็นรากฐานทางการดำรงชีพของเรากำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ สมัยก่อน แม้เราไม่มีรายได้มาก แต่เรามีโครงสร้างสังคมเฉพาะตัวของเรา ครอบครัวนึงจะมีรายได้หลายทาง พ่อแม่ปู่ย่าทำไร่ทำนา ขณะที่ลูกหลานเข้ามาทำงานในเมืองส่งเงินกลับบ้าน อาจจะมีความลำบากบ้างเช่นฝากลูกไว้กับตายาย แต่ครอบครัวก็ยังมีรายได้ 2 ทาง บ้านในต่างจังหวัดแม้จะรายได้ไม่มากแต่มีของกินอยู่ในบ้านรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านอื่นก็ไม่มากนัก
มาปัจจุบัน เราขายที่ขายนาให้นายทุนด้วยเหตุผลต่างๆ เปลี่ยนสถานะจากการเป็นเจ้าของกลายเป็นคนรับจ้าง ผลิตแทนรายได้ก็จำกัด ไม่มีทรัพย์สินที่จะสร้างรายได้ต่อเนื่องให้เรา หรือให้เราประคองตัวรอดได้ในยามที่ไม่มีรายได้
2. เรามีเรื่องให้จ่ายเงินมากขึ้น
ลองทำบัญชีรับ-จ่ายดูสัก 3 เดือน จะเห็นชัดเจนว่า เดี๋ยวนี้เรากำลังมีปัญหา 2 อย่าง คือเรากำลังมีเรื่องให้จ่ายเงินมากขึ้นและเรื่องเดิมที่เคยจ่ายก็ต้องจ่ายแพงขึ้น ยกตัวอย่าง ปัจจุบันผลผลิตการเกษตรพืชผัก ผลไม้ กับข้าว ของสดที่ราคาตอนนี้แพงกว่าที่ขึ้นมาก ทั้งๆ ที่เคยซื้อในราคาถูกกว่านี้ ไม่นับข้าวของเครื่องใช้อื่น แต่ที่ผมยกตัวอย่างเรื่องผลผลิตเกษตร เพราะเป็นสิ่งที่เราเคยเป็นเจ้าของเองและมันช่วยประหยัดตรงนี้ได้มากจริง
3. เงินของเราไหลออกนอกประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ
เราอาจไม่รู้ตัวว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้เป็นโมเดลที่พาเงินไหลออกนอกประเทศในระดับที่เราคาดไม่ถึง ไม่ต้องเอาอะไรมาก ข้าวของที่เราใช้มากกว่าครึ่งนำเข้าจากจีน การนำเข้าแปลว่าเราเอาเงินต้นทุนการผลิตสินค้าไปให้คนอื่นเพียงเพราะราคาถูกกว่า แทนที่จะซื้อจากภาคการผลิตในประเทศ ค่าโฆษณาจากที่เคยหมุนเวียนอยู่ในสื่อบ้านเราตอนนี้ไหลออกไปกับ Social Media Platform เหมือนกับที่เราเห็นสื่อไทยหลายๆ ค่ายนิตยสาร หลายๆ หัวพากันปิดตัวไปเรื่อยๆ
4. โลกโซเชียล
กระตุ้นให้เรามีต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น และเสียเงินได้ง่ายมาก ทุกวันนี้เราไถหน้าจอมือถือ เห็นเพื่อนไปเที่ยวต่างประเทศ ไปกินร้านนั้นร้านนี้ มีโฆษณาชวนซื้อของมากมาย อยากได้อะไรกดทีเดียวของมาส่งถึงบ้าน ทุกสิ่งที่เราเห็นในโลกโซเชี่ยลล้วนแต่กระตุ้นให้เราอยากใช้เงินทั้งนั้น ดูบ่อยเข้าเราก็อดใจไม่ไหว
5. เศรษฐกิจจะยิ่งโดนควบคุมและกำหนดทิศทางโดยคนไม่กี่กลุ่ม
ลองมองไปรอบตัว ธุรกิจที่เราเห็นตอนนี้มีกลุ่มทุนใดเป็นเจ้าของบ้าง เมื่อธุรกิจมีผู้เล่นไม่กี่รายอะไรจะเกิดขึ้นเราคงเดาได้ไม่ยาก เค้ารวมกันทำอะไรออกมาขาย ขายยัง ไง ราคาเท่าไหร่ ชาวบ้านอย่างเราได้แต่ทำตาปริบๆ เพราะ หันไปทางไหนสินค้าบริการก็เป็นของคนกลุ่มนี้ทั้งนั้น
ต้องคิด ต้องทำอะไรบ้าง
- เริ่มต้นจากการเปลี่ยนความคิดในหัวก่อน สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเปลี่ยนคือความคิดที่ว่า “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง” จริงอยู่ว่าไม่มีอะไรแย่ตลอดทุกอย่างจะดีขึ้นเอง เมื่อเวลาผ่านไปแต่สิ่งนึงที่เรามักจะลืมคิดต่ออีกนิดคือตอนที่ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว ตัวเราเป็นคนแรกๆ ที่ดีขึ้นด้วยหรือเปล่า หรือเป็นแค่คนรับผลพลอยได้จากการที่สิ่งรอบตัวดีขึ้นไปแล้ว
- เปลี่ยนความคิดว่ามันเป็นแบบนี้ เราทำอะไรไม่ได้ (หรือจะไปทำอะไรได้) ใครคิดแบบนี้อยู่คือแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง เพราะเท่ากับเรายอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยสมัครใจ มันเป็นความจริงที่โหดร้าย ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นแม้มันเป็นปัจจัยภายนอก (External Factor) ที่เราไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ มันเกิดแต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้คือตัวเรา (Internal Factor) อย่ามัวรอให้ใครจัดการทุกอย่างให้หมด เพราะสุดท้ายเราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง
- เปลี่ยนความคิดที่ว่าตัวเราคนเดียวจะไปทำอะไรได้ เวลาเกิดวิกฤตปัญหาคนแรกที่เราควรจะช่วยเหลือคือตัวเราเอง เริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆ ที่จะพาตัวเองไปต่อได้ แม้หลายสิ่งจะดูขัดและฝืนความรู้สึกอย่างมากก็ให้บอกตัวเองไว้ว่านี่คือวิธีเดียวที่จะให้เราอยู่รอด บอกตัวเองทุกวันแล้วสมองมันจะยอมเชื่อเราเอง
- พฤติกรรมแรกที่ต้องเปลี่ยนคือตัดสิ่งไม่จำเป็นออกจากชีวิตให้มากที่สุด สิ่งแรกที่ง่ายที่สุดคือเงินที่เสียไปกับค่าเหล้าบุหรี่ หวย รวมถึงพฤติกรรมที่เป็นโทษกับร่างกายเช่น นอนดึก กินดึก ตัดเรื่องเหล่านี้ออกไปได้เดือนนึงจะได้เงินและเวลากลับมาแล้วเอาไปทำอะไรอย่างอื่นได้อีกเยอะ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีโอกาสไหนสำหรับ การเลิกเหล้า เลิกบุหรี่หรือลดเวลาที่หมดไปกับเรื่องไม่เกิดประโยชน์ได้ดีไปกว่าช่วงเศรษฐกิจถดถอยแบบนี้ ไม่เลิกตอนนี้จะไปเลิกตอนไหน ไม่ขยันวันนี้พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน
- เลิกพฤติกรรมการบ่น ด่า และโทษคนอื่นว่าเป็นสาเหตุทั้งนั้น ถ้าอยากบ่นอยากด่าใคร ให้เปลี่ยนจากการพูดเป็นหยิบกระดาษมานั่งเขียนด่า (จะได้ไม่มีเสียงไปรบกวนคนอื่น) เขียนไปสักพักจะรู้ว่า เออมันเหนื่อยและเสียเวลาจริงๆ ที่จะมานั่งด่าใคร สู้เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า
- ปรับพฤติกรรมให้ลองทำสิ่งที่ไม่เคยดูบ้าง เราอาจค้นพบความเก่งตัวเองในด้านที่เราเองก็ลืมไปแล้ว หรือพบโอกาสใหม่ๆ เรื่องใหม่ที่เราเห็นปั๊บแล้ว Spark Joy เกิดสนใจอย่างจริงจังแบบทันทีขึ้นมา Spark Joy ไม่ได้มีไว้ใช้แค่ตอนจัดบ้าน และ Spark Joy เอามาใช้เลือกอาชีพก็ได้เหมือนกัน เมื่อเราเจอสิ่งนั้น เราจะมีพลัง กำลังใจและรู้เองว่าควรจัดชีวิตการทำงานของเรายังไงต่อ
- สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือปรับกลยุทธ์การทำงานใหม่ จัดชีวิตให้สมดุลจากงานที่เราต้องใช้เวลาหลักแลก เราต้องใช้เวลาที่เหลือไปกับเรื่องที่เกิดประโยชน์ ทั้งสำหรับวันนี้และอนาคต เราต้องใช้ความชอบเป็นตัวผ่อนความรู้สึกเครียดจากการทำงานหลัก เราอาจได้ค่าตอบแทนน้อยแต่สม่ำเสมอเพื่อลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายประจำ เราต้องลองทำและให้รายได้น้อยในวันนี้ แต่มีโอกาสให้เราได้มากกว่าในวันข้างหน้า แต่ละคนจะมีสมดุลของชีวิตไม่เหมือนกัน มันจึงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว อาจจะลอกกันได้ในช่วงแรก (เหมือนหาเพื่อนทำเพื่อให้กำลังใจกันและกัน) แต่นานไปมันจะขัดความรู้สึก เมื่อนั้น คือสัญญาณให้เราปรับหาทิศทางเพื่อออกแบบชีวิตของตัวเองได้แล้ว
- ปรับวิธีการทำงานใหม่ จากงานทั้ง 5 ประเภท คือ งานประจำ งานพาร์ทไทม์ งานอดิเรก งาน MLM งานเพื่อคนอื่น
สิ่งสำคัญ เกี่ยวกับการทำธุรกิจที่เราต้องรู้
- ทำไมลูกค้าถึงต้องเลือกเรา สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าให้ได้ว่าเลือกเราแล้วเขาจะได้อะไรที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น
- ทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบ เกินครึ่งของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้สูตรลับเทคนิคและแรงบันดาลใจมาจากคนในครอบครัว
- สิ่งที่เราทำแล้วสามารถแก้ปัญหาให้คนอื่นได้ คือโอกาสธุรกิจที่เห็นชัดเจนที่สุด
- ทำในสิ่งนั้นได้ดี แต่อาจจะไม่ชอบ จะได้ผลดีระยะสั้นเท่านั้น
- คุณไม่จำเป็นต้องมีหุ้นส่วน แต่คุณจำเป็นต้องมีคนช่วยในเรื่องที่คุณไม่เชี่ยวชาญ
- ธุรกิจของคุณมีราคาตามคุณค่าที่มันมี
- เรื่องยากที่สุดของการทำธุรกิจคือ การสร้างคุณค่าที่โดดเด่นและรักษามันไว้
- ไม่มีธุรกิจไหนประสบความสำเร็จได้ ถ้าขาดการลงทุนเรื่องคน
- เทคโนโลยีทำให้เราทำงานได้สะดวกขึ้นหลายด้าน
- คิดออกแบบโมเดลธุรกิจสำรองไว้เสมอ เพราะทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนแปลงตลอด
- มองหาโอกาสใหม่ๆ นำเสนอ ต่อรอง คือสิ่งที่เจ้าของต้องทำด้วยตัวเองให้มากที่สุด
- เวลาออกไปศึกษาพฤติกรรมจริงของลูกค้าเพียงวันเดียวได้ประโยชน์กว่าการอ่านตำราในห้องหลายสิบเล่ม
- เจ้าของต้องรู้รายละเอียดงานทุกส่วนแต่ไม่ต้องลงไปทำทั้งหมดด้วยตัวเอง
- ตัวตนของเจ้าของย่อมส่งผลโดยตรงกับแบรนด์ของธุรกิจ จงเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
- อย่าขายของแบบไม่มีกลยุทธ์หรือทิศทาง โฟกัสที่โอกาส ไม่ใช่ปัญหา
- การมีหน้าร้านไม่จำเป็นเท่ากับทำให้เรามีตัวตน know how สำคัญกว่า know who
- การขายอาจต้องขาดทุนบางตัว เพื่อได้กำไรรวมที่มากกว่า
- กันเงินส่วนหนึ่งไว้พัฒนาและทดลองอะไรใหม่ๆ เสมอ
- 3 แนวทางการบริหารคนคือ คิดว่าตัวเราเป็นลูกน้อง คิดว่าลูกน้องเป็นลูกค้าและคิดว่าลูกค้าเป็นตัวเรา
- ติดตามคู่แข่งเป็นระยะ จะได้รู้ว่าเขาไปถึงไหนแล้ว
- โลกไม่ได้มีแค่ประเทศไทย ขยันหาตลาดใหม่ๆ ไว้
- ธุรกิจมีขึ้นลง ลงทุนแล้วต้องรู้จักพอ ได้คือได้ เลิกคือเลิก
บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดปัญหาก่อนก็ได้ แค่ทำให้สิ่งที่เป็นอยู่ให้มันดีขึ้น ก็ขายได้แล้ว
คนเราไม่อยากตาย ไม่อยากเจ็บป่วย ไม่อยากสูญเสียสิ่งของหรือบุคคลอันเป็นที่รัก อยากได้รับการยอมรับจากสังคมรอบตัว อยากมีชีวิตที่สะดวกสบาย มีความปลอดภัย อยากได้รับและเป็นผู้มอบความรัก อยากเป็นคนพิเศษ อยากมีชีวิตที่ดี อยากสบายใจและมีความสุข ต้องการความมั่นคงในชีวิตโดยเฉพาะด้านจิตใจ และทุกคนอยากประสบความสำเร็จ
หลักการบริหารคน
- เลือกคนที่ดีที่สุดเท่าที่เราหาได้ทุกครั้ง สำหรับทุกตำแหน่งงาน
- พนักงานเป็นเครื่องมือช่วยหาเงิน ไม่ใช่ภาระของบริษัท
- การสร้างคนคือการหาคนมาทำงานให้เรา จงมอบหมายและอำนาจในการตัดสินใจให้เขา
- ต้องมีพนักงานเกินตำแหน่งงานไว้ 20% เสมอ
- โฟกัสการทำงานที่ผลของงาน ไม่ใช่วิธีการ
- พยายามให้ทุกคนในทีมและทั้งทีมทำในสิ่งที่ถนัด
- ยึดติดในหน้าที่ไม่ใช่ตัวบุคคล
- ให้อิสระในวิธีการคิดและการทำงาน
- ชมให้บ่อย บ่นให้น้อย
- ทำให้ลูกน้องรู้สึกว่า ที่ทำงานคือบ้าน คือครอบครัว เขาจะรักและดูแลแทนเราอย่างดีที่สุด
- ในเวลางานสอนเรื่องงาน นอกเวลางานสอนเรื่องชีวิต ดุได้ โกรธได้ แต่ให้อยู่บนพื้นฐานของความรักและอยากเห็นพวกเขาได้ดี
วิธีดึงตัวเองออกจากช่วงแย่
- ทำใจรับมัน แล้วบอกตัวเองว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนเป็นเรื่องปกติ
- หาที่ระบาย หาเพื่อนคุย เลิกดราม่าหาคนเห็นใจ
- ปรับเวลาการกินและนอน
- ทบทวนงานค้างและตารางนัดอย่างมีเหตุผล งานไหนไม่สำคัญตัดออก เอาเวลามาลงรายละเอียดกับงานสำคัญ หรือไม่ก็ไปนอน จัดตารางเวลาตัวเองให้ดี
- พยายามหาความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในช่วง 1-2 วันแรก ทำ to do List พยายามรักษาโมเมนตัม พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราทำงานได้ดีที่สุด
- หาเวลาส่วนหนึ่งออกไปหาความฝันใหญ่ที่เคยมี ที่เคยอยากทำ
- ออกแรงให้เหงื่อออก การขยับตัวจะทำให้ร่างกายตื่นตัว
- ปัญหาทุกอย่างบนโลกแก้ได้ด้วยการลงมือทำ
- ช่วงเวลาที่ยากลำบากเราจะเห็นความจริงว่า ใครรักและพร้อมจะสู้เคียงข้างไปกับเรา
- ทุกความเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งความเสียหาย ไม่มีเวลานั่งเสียใจ ให้รีบลุกขึ้นสู้ต่อโดยเร็วที่สุด
การได้มีเวลาฉุกคิดกับคำถามเหล่านี้อีกครั้ง จะพาตัวเรากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของปัญหาและมีโอกาสทำความเข้าใจกับมันมากขึ้น และมองเห็นภาพที่ชัดเจนว่าจะแก้ไขแต่ละเรื่องอย่างไร
ขอบคุณเก้าที่ให้ยืมอ่าน อ่านจบทั้งเล่มแหละ แต่ว่ามันจะอินเป็นบางบท ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ที่เราเจออยู่ ว่าเป็นแบบไหน ตำแหน่งใด