#priwreadbooks หมาป่าโดดเดี่ยว ปราสาทเดียวดาย ในกระจก
#น้ำพุสำนักพิมพ์ สึจิมุระ มิซึกิ เขียน บัณฑิต ประดิษฐานุวงษ์ แปล
วันนี้เป็นอีกวันที่ โคโคโระ ไม่ไปโรงเรียน เธอเอาแต่ขังตัวอยู่ในห้องนอนที่มืดสลัว ทันใดนั้นกระจกเงาบานใหญ่ก็เปล่งแสงประหลาดออกมา เมื่อเอื้อมมือไปแตะ เธอก็ถูกดูดเข้าไป
“คุณอันไซ โคโคโระ ยินดีด้วยที่ได้รับเชิญมาเป็นแขกของปราสาทหลังนี้” เด็กหญิงวัยประมาณ 6-7 ขวบที่ใส่หน้ากากหมาป่าพูด
ปลายทางของโลกหลังกระจก มีปราสาทงดงามราวต้องมนตร์ที่ไม่มีที่มาที่ไป ที่นั่นมีเด็กอีก 6 คนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกับโคโคโระ นักเรียนมัธยมต้นกลุ่มนี้มีจุดร่วมเดียวกันคือ “ไม่ไปโรงเรียน” ซึ่งปราสาทแห่งนี้จะเปิด/ปิดเป็นเวลา เมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับมายังโลกที่ตัวเองอาศัยอยู่ ห้ามอยู่เกินเวลาเด็ดขาด
เพราะช่วงวัยเรียนอาจไม่ใช่ความทรงจำที่ดีของทุกคนเสมอไป
กลุ่มเด็กๆ เหล่านี้ส่วนมากล้วนตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่างที่สร้างความลำบากใจจนทำให้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ การกลั่นแกล้งในโรงเรียน ครูประจำชั้นที่เข้าข้างและแสดงความเห็นอกเห็นใจคนที่ทำผิด เพียงเพราะว่าเด็กคนดังกล่าวเป็นคนสดใส ร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่ายแต่กลับมองข้ามและไม่ค่อยรับฟังความรู้สึกของเหยื่อ รวมถึงตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว พวกเขาโดนละเลยและลดทอนความเป็นมนุษย์ ทำให้ต้องสูญเสียช่วงเวลาดีๆ และความสดใสในวัยเด็กที่ควรค่าแก่การจดจำไป
“มาสู้กันนะ มาสู้ไปด้วยกัน แม้จะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน”
ภารกิจที่เด็กๆ ทั้ง 7 คนนี้ต้องทำคือ ตามหา “กุญแจ” และห้องแห่งความปรารถนาที่ซ่อนไว้ ผู้ใดที่หาเจอจะขอพรได้ 1 ข้อ หนึ่งคำขอในโลกหลังกระจกที่จะเปลี่ยนโลกความจริงไปตลอดกาล เมื่อมีคนขอพรแล้ว ทุกคนที่เคยอยู่ที่นี่จะลืมเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น หรือหากไม่มีใครหาเจอเลย ปราสาทนี้ก็จะปิดลงอย่างถาวรในวันที่ 30 มีนาคมอยู่ดี
“ผมอยากจำได้ ทั้งเรื่องของทุกคนและเรื่องของพี่ ถึงพี่อาจจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ” คุณหมาป่าไม่ตอบ ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหน เขาไม่ได้คิดจะทำให้ลำบากใจ
ริออนเงียบ หันหลังกลับไปทางกระจกแล้วพูดในใจกับพี่สาวว่า “ลาก่อน”
จากนั้นยื่นมือเข้าไปในกระจก ตอนนั้นเอง “จะทำเท่าที่ทำได้” เขาได้ยินเสียงชัดเจน
การกระทำของเด็กๆ ในปราสาทที่ต่างเป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้จักกันในโลกแห่งความเป็นจริง แต่เมื่อได้มารู้จักกันในปราสาทแห่งนี้ ก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง รับฟังปัญหา และช่วยหาทางออก เพื่อช่วยยืนยันว่าทุกคนไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงลำพัง
เพราะเราไม่ได้ตัวคนเดียว โดดเดี่ยวเดียวดายบนโลกใบนี้
ถึงอย่างนั้นก็มีคนบอกเราว่า ถ้าไม่อยากต่อสู้ก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้
เพราะอย่างนี้จึงคิดว่า จะลองกลับไปที่โรงเรียนดู
ดอกซากุระบาน ลมพัดแรง โคโคโระที่กำลังเดินต้องจับผมไว้ไม่ให้ปลิวตามลม ถ้าบอกว่าไม่กังวลก็คงโกหก แต่คิดว่าจะอยู่อย่างสง่าผ่าเผย วันนี้จึงมา
ตอนนั้นเอง “ไง”
ได้ยินเสียงมาจากด้านหน้า ซึ่งโคโคโระกำลังหรี่ตาเพราะลมแรง ค่อยๆ มองตรงไปข้างหน้า เมื่อกลีบซากุระที่ปลิวตามลมหายไป ทัศนวิสัยก็ปลอดโปร่ง
เด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งคร่อมอยู่บนจักรยานกำลังมองมาทางนี้ เขาใส่ชุดนักเรียนชายแบบปกคอตั้งบนหน้าอกติดตราโรงเรียนเดียวกัน ป้ายชื่อปักว่า “มิตซูโมริ”
ชื่อของคนคนนี้ โคโคโระคลับคล้ายคลับคลาว่ารู้จัก ก่อนจะเบิกตาโพลง
อย่างเช่นที่เคยฝันไว้ว่า มีนักเรียนย้ายมาใหม่ คนคนนั้นสังเกตเห็นเราท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้นมากมาย เผยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนและเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ แล้วพูดว่า “สวัสดี”
เขายิ้มให้โคโคโระ
ไม่เคยคิดจะหยิบหนังสือแนวนี้มาอ่านเลย แต่พออ่านแล้วช่วงท้ายๆ ของเล่มคือวางไม่ลง เนื้อเรื่องชวนติดตาม ลุ้นมาก (สปอยล์ถัดจากนี้)
จากที่ทุกคนไม่สามารถเจอกันที่โลกภายนอกได้ ตามวันที่ได้นัดหมายกัน ก็เกิดเป็นสมมติฐาน Parallel World ก่อนจะมาคลี่คลายในตอนท้ายว่า One World นี่แหละ แต่คนละช่วงปี ห่างกันทีละ 7 ปี ปราสาทนี้เป็นปราสาทเหนือกาลเวลา
แล้วยังมีเรื่องต่อว่า “คุณหมาป่า” เด็กน้อยที่ใส่หน้ากากและเดรสตลอดเวลา คือพี่สาวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่ม (คนนี้โดนส่งไปเรียนฮาวาย) ที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อตอนอายุ 13 ปี (7 ปีที่แล้ว)โดยไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่งที่เพื่อน 6 คนในที่นี้เรียนโรงเรียนเดียวกัน
ผูกเรื่องได้แฟนตาซีมาก ขอบคุณหงส์ที่แนบเล่มนี้มาให้ยืม สนุก~!