(Session นี้ได้ทำการ Share เมื่อปี 2018)
#KnowledgeSharing: Startup Ecosystem by P’MM
บ้านเราพูดเรื่อง Startup จริงๆ ช่วงปลาย 2011–2012 คนยังมีความงงเรื่องความต่างของ SME–Startup เราเลยพูดคำว่า Tech Startup จริงๆ ก็มีแบ่งหลายเรื่องอีก แต่ที่เราทำคือ Digital
Startup VS SME
Startup ถูกนิยามสมัย Paypal “คนที่งงงวยอยู่กับ Business model ตัวเอง” เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่รู้จะเข้าไปแก้ปัญหายังไง ตามในนิยาม Startup ก็เป็น SME แต่นิยามการเติบโตจะไม่เหมือนกัน SME จะดูลูกทุ่ง
SME เป็นก้อนกลมๆ ก้อนใหญ่ แล้ว Startup เป็น subset ในนั้น
Startup มี Character ที่ต่างจาก SME คือ
- เป็นธุรกิจที่ Scale ได้ สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว โดยการเอาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วย เช่น Priceza ที่ไปอินโดนีเซียได้ เพราะ Core หลักสามารถทำซ้ำได้ แต่ต้องไป customize ตามแต่ละที่นั้นด้วย
- SME จะคุ้นชินกับการกู้ยืมเงิน ทำสินเชื่อกับแบงค์ แต่ธุรกิจ Startup คนที่ลงทุนรู้แหละว่าคนที่มา Pitch คือการขายฝัน การเอาอนาคต เอาไอเดียไปขายกับแบงค์ แม้จะมีคนใช้งาน แต่ไม่มีรายได้เข้ามา ก็ไม่มีแบงค์ไหนให้กู้ยืม ก็เลยเกิดการระดมทุนจากคนที่เข้าใจในวงการ แบ่งเป็น VC กับ Angel จริงๆ โลก SME ก็มี VC, SME ได้ อย่างคุณต๊อบ ก็ลงทุนในธุรกิจสาหร่าย แต่ก็เป็น Angel ในที่อื่นด้วย
Startup ที่ไปขอสินทรัพย์กับ VC, Angel พวกนี้เค้าลงทุนในอนาคต ไม่ได้ดูพวกสินทรัพย์
ในปี 2011 มันก็กำลังฮอต มาแถวสิงคโปร์ อินโดนีเซีย แถวบ้านเราไม่ได้ถูก define ชัด ก็จะเป็นพวกคนที่ทำธุรกิจเทคโนโลยี
Software Company / Outsource
ไปพัฒนา Software ให้กับที่ๆ นึง พอทำอะไรให้เค้าเสร็จก็ยกให้เค้า แล้วก็ไปพัฒนาตัวใหม่ให้กับคนอื่น อย่าง Digio ทำ white label ให้กับที่นึง แต่ตัว POS ยังเป็นของเค้า ก็ยังสามารถเอาไปให้คนอื่นใช้ได้อยู่ (แบบนี้เรียก scale ได้) แต่พวกที่ทำระบบตาม requirement เป๊ะๆ แล้วส่งมอบให้เค้า แบบนี้จะไม่นิยามตัวเองว่าเป็น startup เพราะว่ามันต้องเริ่มใหม่ตลอด ไม่ใช่ธุรกิจที่สามารถ scale ได้
POC (Proof of concept) เป็นวิธีการ กระบวนการนึงที่จะ make sure ว่ารายที่จะเข้ามาเสนองานนี้ สามารถทำงานได้ (พวก bidding แบบ agency)
// เคยได้ยิน TOR มั้ย? RFP (Request for proposal) ล่ะ?
อย่างพี่หมู Ookbee พี่โบ้ท Builk ก็เป็น Software มาก่อน ทีนี้พี่หมูเห็นโอกาสตอน ipad เข้ามา ก็เลยทำ software e-book ตัว software อาจจะไม่ได้ success มาก แต่เดินเกมเป็น เพราะ VC ต้องการตัวเลข transaction พี่หมูเอาไปผูกกับ AIS ก็ได้ฐานลูกค้ามา แต่ Active user ไม่รู้เท่าไหร่ ส่วนพี่โบ้ท ทำ Software ลองกอง Support ธุรกิจก่อสร้าง มีเพื่อนที่ Coding ได้ ก็เลยคิดว่าน่าจะทำ Software ทำไปทำมาเห็น pain point ว่าในธุรกิจก่อสร้างไม่มี software ERP ในราคาที่ถูก ถ้าจะเอาของต่างประเทศมาใช้ก็แพง บางอันก็ไม่ตอบโจทย์ เลยทำ Builk เข้ามา พอมีคนใช้เยอะ ก็เลยเป็น data ก่อให้เกิดเป็น e-commerce
คนไทยส่วนใหญ่ที่เข้ามา 2011–2012 เป็นคนที่ทำ software house มาก่อน เชี่ยวชาญธุรกิจด้านใดด้านนึงมาก่อน แล้วก็เข้ามาทำ
VC มีคำนิยาม 2 อันที่เราควรรู้จักคือ
- CVC : Corporate venture capital เป็นองค์กรที่จริงๆ ตัวเองทำธุรกิจอย่างอื่นอยู่ กลัวว่าตัวเองจะโดนล้ม กลัวโดน disrupt เลยทำให้เกิดคำนี้ขึ้นมา อาจจะตั้งเป็นบริษัท หรือหน่วยงาน เป็นเงินที่อยู่ในบริษัทแล้วเอาออกมาตั้ง ใช้ในการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Startup เป้าหมายหลักไม่ได้เน้น ROI แต่หาเทคโนโลยีที่มาตอบโจทย์บริษัท หรือซื้อคนที่อาจจะมา disrupt
- 500startups, 500tuktuk เป็น fund ที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Startup คนที่เป็น fund manager สามารถลงทุนด้วยได้ เช่น K ลงทุนใน 500tuktuk พี่กระทิงเป็น fund manager (อีกมุมนึง K ก็สามารถไปลงทุนเองได้ เช่น Omise) Gold หลักคือ ROI ได้กำไรแล้วก็อาจจะขายต่อ การลงทุนใน Fund เป็นความเสี่ยงที่ไม่เสี่ยงเยอะ เพราะมีคนช่วยจัดการ ส่วนนึงคือการเข้าไปเรียนรู้การ Verified ว่า Startup รายไหนดีไม่ดี ถ้าทำดีๆ สักพักก็สามารถไปลงทุนเองได้ แล้วก็ไม่เสี่ยงเท่ากับการลงทุนเอง
Incubator VS Accelerator
- Incubate: การฟักไข่ เริ่มตั้งแต่ Idea stage ยังไม่มีความชัดเจน ต้องล้มลุกคลุกคลาน เข้ามาแล้วอยู่กันยาวๆ เป็นปี (พอไม่โตซักที ก็ออกไปซะ)
- Accelerator: มีรูปร่างระดับนึง แต่ต้องการขยายตลาดออกไป ส่วนใหญ่เข้ามาเป็นรอบๆ เป็น Batch
แต่บางที่ก็ไม่ได้นิยามแบบนี้ อย่าง D ตอนแรกๆ ก็เหมือนเป็น incubate แต่ตอนนี้เป็น accelerator จริงๆ ไม่ต้องสนใจชื่อ แค่ดูว่ามัน Work มั้ยก็พอ
Venture builders
มีหลายเคส ทำธุรกิจอะไรอยู่แล้ว แล้วพยายามสร้าง Startup ในองค์กรตัวเอง เช่น คุณเมษอยากทำอะไรบางอย่างภายใต้ธุรกิจ TS แบบนี้คนทำอาจจะไม่มีความเป็น entrepreneur จริง
Policy maker
ที่เข้ามาช่วย Startup แล้ว: NIA, DEPA (SIPA เก่า ส่งเสริมธุรกิจ Software), ETDA (e-commerce), EGA (Open data), SEC (กลต. จะเข้ามาเกี่ยวเรื่อง ICO), สวทช., สวทน., BOI (สิทธิพิเศษสำหรับบริษัทที่เพิ่งตั้งใหม่ ขอยกเว้นภาษีเงินได้, ขอถือหุ้น 100% โดยต่างชาติ)
Startup ประเทศไทยพยายามปั้นคำนี้เป็นกระแส เวลาจะขออะไร ก็เลยต้องมี mention คำนี้ มันเป็นคำกลางๆ คิดว่าไม่น่าจะหายไปไหน ส่วนเทคโนโลยีอะไรที่จะก้าวข้ามผ่านและจะเปลี่ยนแปลงวงการได้ ก็เช่น Blockchain จะมาแล้วเปลี่ยนได้จริงมั้ย?
ช่วงที่ฮอตมากๆ สองปีก่อนคือ Finance อย่างปีที่ผ่านมาก็ฮอต แต่เป็นการ screening ตัวจริงตัวปลอม ปีนี้สายที่น่าจะมาแรงคือ Food, Bio, Health, Agri อะไรที่มัน Social Impact มากขึ้น ส่วน FinTech น่าจะเริ่มอิ่มตัวแล้ว เพราะแบงค์กระโดดลงมาแล้ว ส่วน Government น่าจะทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะมีความกังวลอะไรบางอย่าง พอพูดเรื่อง Food พวกที่ Food Delivery ก็ไม่ใช่ มันต้องระดับ R&D และคิดหัวเชื้อได้
Unicorn
- ธุรกิจที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000M USD ซึ่งต่างประเทศก็จะมี Uber, AirBNB (การได้ revenue เป็นอีกเรื่อง) การเป็น unicorn สามารถเจ๊งได้เหมือนกัน จริงๆ บ้านเราน่าจะเป็น Omise (ถ้านับ ICO)
- แถวบ้านเราที่เป็น unicorn ไปแล้วมี Garena, Grab (Malaysia), Lazada (Singapore), traveloka (Indonesia), tokopedia, gojek, …
ทุกคนที่มี e-wallet สามารถ turn ตัวเองเป็น FinTech ได้หมด แบงค์ไม่ได้กลัว FinTech Startup แต่น่าจะกลัวพวก non-Bank เช่น grab, line, alibaba, mobile operator เพราะไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะมี bank account แต่ทุกคนบนโลกมีมือถือ ถ้าพวก telco, telecom turn ตัวเองจะน่ากลัวที่สุด อย่าง CP มี True money, 7eleven, Ant Financial (subscriber ที่เป็นคนจีนเยอะ) ใครจะไปสู้ได้?
Peer to Peer Lending ยืมเงินกันเอง
พวกทำ App Stock หุ้นทั้งหลาย มันคือการให้ดู แต่ถ้าจะ trade จริงๆ ต้องมี license ของตลาดหลักทรัพย์ จริงๆ แล้ว FinTech startup ในบางแง่จะเกิดยาก ถ้า Policy maker ไม่อนุมัติ แต่ถ้าบางมุม เช่น ไปทำงานกับแบงค์ FlowAccount จับมือกับ Kbank, AIS ช่วยจัดทำ Promotion ก็ไปได้ แต่ถ้าทำอะไรที่ชน ต้องไปพึ่ง infrastucture แล้วต้องใช้เงินทุนเยอะๆ น่าจะไม่รอด
จีนเข้ามา ใครจะเจ็บ?
- ทุกคนที่เห็นโฆษณาบน FB บางอันคนจีนเป็นคนลง แต่เห็นเป็นภาษาไทย Alibaba ทำ target บน FB คนที่เหนื่อยน่าจะเป็นภาค e-commerce แต่ทำไมเหนื่อยแล้วยอดระดมทุนถึงก้าวกระโดด? เพราะ aCommerce, pomelo ทำให้ยอดระดมทุนกระโดด แต่ถ้าเอาสองตัวนี้ออก จะพบว่าลดลง
- garena ทำธุรกิจตัวเองอยู่แล้ว แล้วทำ wallet เติมเกมตัวเองขึ้นมา
- ใครที่มี subscriber อยู่เยอะ ก็เหมือนมีข้อดีอย่างนึง คือมีลูกค้าเป็นตัวประกัน
Startup ไม่ว่าจะ industry ไหนก็แล้วแต่ การทำ B2B น่าจะรอดมากกว่า B2C ที่ทำยากกว่าเพราะคนไทยน้อยมากที่จ่ายเงินให้กับ online service, ยิ่ง content ไม่ต้องพูดถึงเลย
ต้องดูว่าประสบการณ์เรามีประสบการณ์ด้านไหน เห็นปัญหาในภาคธุรกิจใด แล้วค่อยไปทำต่อ
Startup ที่มี 1 Founder และมีลูกน้อง ถ้าไม่ได้เก่งมากระดับ Superman (ตัวเองทำได้ทุกอย่าง) ก็อาจจะไม่ไหว แต่ถ้าเรามีเพื่อนซัก 2–3 คน แล้วมีทิศทางที่เข้ากันได้ เคมีเข้ากันก็จะดีกว่า การมี domain expertise อยู่ที่ตัวเราดีที่สุด แต่ถ้าเราทำไม่ได้ทุกอย่าง การมีคนช่วยคิดช่วยทำจะดีกว่า
คนที่ทำอะไรที่สุดท้ายแล้ว ไม่สามารถ turn “Nice to have” เป็น “Must have” ได้อาจจะอยู่ยาก แต่ Nice to have อย่าง Facebook ก็สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็น Must ได้ เพราะว่ามันทำ psychology เยอะมาก ถ้าคิดจะทำอะไร ทำ Must have ดีกว่า แต่ก็จะยากหน่อย
คิดว่าการทำ Must have for B2B แล้วเราเข้าใจ value chain น่าจะมีโอกาสเกิดที่สุด
แนะนำหนังสือ > Hooked: How to Build Habit-Forming Products
ส่วนใหญ่ Startup ที่ตาย ถ้าไม่ใช่ Founder ทะเลาะกัน เงินทุนหมด ก็คือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไม่ได้ หรือเข้ามาเร็วเกินไป เช่น บัตรเครดิต ถ้าสิบปีก่อนคนไทยยังไม่พร้อมก็อาจจะยังไม่เกิด
Corp น่าจะไม่สามารถ innovate ตัวเองได้เร็ว แต่ถ้าเค้าทุนหนา แล้วเค้าโคลนไปก็ยากที่จะสู้ อะไรที่ทำคล้ายกับเค้าก็อย่าไปทำ
Corp ที่ทำงานร่วมกับ Startup เพราะว่า Fear ที่จะโดนใครมา disrupt ตัวเองหรือเปล่า จะมีองค์กรอยู่ 2–3 ประเภท
- องค์กรที่จะอยู่ได้อีกนานเป็นร้อยปี อย่างธุรกิจน้ำตาลก็อยู่ได้อีกนาน แต่เค้าเริ่ม aware แล้ว แต่อะไรที่มันไม่ urgent มากก็จะ observe ก่อน
- พวกวงการที่จะถูก disrupt ได้อย่างเร็ว เช่น ธนาคาร จะมีการทำ R&D (ช้า) ก็เลยมีการทำกับ 3rd party คือ Startup ว่าไปลงทุนเพื่อเรียนรู้ หรือซื้อเค้าเข้ามาเลย
อนาคตพวก medium to big enterprise หรือพวก private ที่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ น่าจะเป็นรายที่เข้ามาในวงการ ส่วนที่เข้ามาช้ามากๆ น่าจะเป็นพวก รพ. แล้วก็ automotive (แม้อันนี้จะเกิดใน ตปท. แล้ว) ตอนนี้ที่มาแล้วคือ Telco, Bank, Energy
Direction เมืองไทยส่วนใหญ่เน้นขาย ส่วนอะไรที่หา innovate ใหม่ๆ จะไปอยู่ ตปท.
Business Innovation ไม่ได้หมายถึงเทคโลยี แต่หมายถึง Innovate เพื่ออะไร และได้เอามาทำจริงหรือเปล่า เช่น สร้าง unit ใหม่ที่ทำให้เพิ่มรายได้หรือเปล่า ช่วยลด cost ลด process อะไรบางอย่าง ให้ทำเร็วขึ้น จากนั้น work back กลับมา เทคโนโลยีเป็นแค่หนึ่งในนั้น จริงๆ เราอาจจะไม่ต้องใช้เทคโนโลยีก็ได้ แค่ไปแก้ไขอะไรบางอย่าง ระบบ approve ที่ไม่ต้องยาวเหยียด เรา shortcut บาง process ได้มั้ย แต่ mindset, culture ขององค์กรก็ต้องเกี่ยวข้องด้วย
Series การลงทุนมีคำนิยามสองกลุ่ม
- ดูที่จำนวนเงิน แต่ในแต่ละภูมิภาคก็ไม่เหมือนกัน อย่างบ้านเรา 2M USD ได้เป็น A แต่อเมริกาไม่ใช่แบบนั้น
- ดูจำนวนรอบที่ได้
จริงๆ ต้องดูทั้งจำนวนเงิน จำนวนรอบที่ได้ และขึ้นอยู่กับ region ด้วย
ตอนนี้พี่ตามข่าวจาก Facebook แทนการ subscribe Feed แต่ละสื่อจะมีจุดเด่นที่ต่างกัน ต้องแยกเป็นหมวดออกมาก่อน แล้วค่อยทำ list หรืออีกวิธีคือตามข่าวจากคนที่ Update ข่าวในวงการตลอดเวลา
Startup กับ Entertainment industry ในไทยจะรวมกันได้ยังไง
- ถ้าเป็นเกมยังไงก็รุ่ง
- (P’MM opinion) ถ้าทำ netflix, iflix, คนไทยอาจจะไม่จ่าย //แต่มีเสียงเถียงว่า เราจ่าย ยอดจ่ายเงินดูหนังในโรงลดลง คนจะแชร์กันมากกว่า มันจะมีหนังบางเรื่องที่ไม่มีในโรงแต่มีใน netflix //ต้องดูว่าสายป่านจะไปไกลแค่ไหน
Slide ที่เปิดคู่การเล่าเรื่อง: Thailand tech startup ecosystem report q4 2017 by techsauce