“Trends & Conversations of The New Decade” #CTC2020
กลับมาพบกับ Creative Talk Conference อีกเช่นเคย วนๆ มาปีละครั้ง โดยปีนี้จัดขึ้นที่ไบเทคบางนา สถานที่จัดงานใหญ่ขึ้นไปอีก จากปีที่แล้วที่จัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (ซึ่งตอนนี้มันก็ปิดปรับปรุงอยู่ด้วยนั่นแหละ) เป็นงาน Event ในประเทศที่เรามาเข้าร่วมมากสุดแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็น Creative #5 อยู่เลย ด้วยความที่ปีนี้เป็น Attendee เราก็เลยได้ Sticker และ Wristband มา (แบบไม่มี QR code) ทีมงานบอกว่าไม่มี QR ที่ถูกพิมพ์ออกมาก็สามารถเข้าได้ ตามกำหนดการที่เห็นคือจะเริ่มงานตอน 9.00 น. ซึ่งตอนนั้นเรายังต่อแถวลงทะเบียนอยู่เลย 55+ ใช้เวลายืนต่อแถวรอลงทะเบียนประมาณ 7 นาที แล้วก็เข้าไปที่ Main Stage
09.14 พี่เก่งขึ้น Opening บอกว่าปีนี้มี 101 speakers 51 sessions และ 4,000 attendees ในส่วนของกราฟิก ได้ inspire มาจาก “การหมุนของโลกและดวงดาว โลกมันหมุนไปไว หรือเราหยุดเดิน” โดยในปีนี้มี speaking, workshop, mentor, การแลกหนังสือ
Conversation เมื่อ 6 ปีที่แล้วคือ อยากจัดงาน talk เล็กๆ ซักงาน ต้องทำยังไง ก็ไปปรึกษาพี่ป้อม Pawoot ไปคุยอย่างยาว พี่ป้อมกล่าว “มึงอยากทำอะไรก็ทำ” ก็มีความเศร้า ไปคุยกับเพื่อน เพื่อนบอกว่า ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษคือ “Just do it” งานแรกมีคนเข้าร่วมประมาณ 70 คน มี speaker เพียง 1 คน และตั้งชื่องานว่า Creative talk เพราะ speaker คนแรกของเราเป็น Creative
Curious -> Questions -> Answers -> New Exploration
Curiosity -> Ask -> Listen -> Learn
ให้ลุกขึ้นยืน ทักทายเพื่อนข้างๆ เพื่อสร้าง Conversation พี่เก่งบอกให้ทำความรู้จักคนแปลกหน้าให้ได้ 10 คนในวันนี้ (ยากจีจี) จากนั้นก็แจ้งเปิดงาน แล้วก็เชิญ sponsors ใหญ่ (AP) ขึ้นมากล่าว แล้วก็เชิญพี่โจ้มาขอบคุณ sponsors เพิ่มเติมนอกจาก title แล้วก็มีธนาคารกรุงเทพกับ Tellscore อีกทั้งแนะนำกิจกรรมด้านนอก เช่น mentoring, workshop, live podcast
ในปีนี้พยายามใช้ single-use plastic ให้น้อย น้ำดื่มที่แจกในงานได้จาก Yes I Can เป็นกระป๋องอะลูมิเนียมที่รีไซเคิลได้ ส่วนไวนิลจะเอาไปทำกระเป๋าได้ประมาณ 30 กว่าใบ เงินที่ได้หักลบค่าใช้จ่ายจะเอาไปบริจาค รวมถึงมี Book fair ด้านนอกให้คนเอาหนังสือมาแลกกัน ในงานครั้งนี้ใช้ hashtag #CTC2020 แล้วก็บอกให้ download App CTC2020 อีกทั้งแนะนำ FB group “CTCนักจด”
เรื่องใหม่ของปีนี้คือมีกฎ 50mins+10mins โดยเลขหลังคือให้พักผ่อนและวิ่งเปลี่ยนห้อง ถ้า speaker คนไหนพูดครบ 50 นาที จะมีเพลงขึ้น
จากนั้นก็โชว์ภาพ landmark แลกหนังสือที่ห้อยๆ อยู่ / บูธของ AP+SEAC วัด skill, major cineplex แจกตั๋วใต้เก้าอี้อีกแล้ว (400ใบ) คนข้างๆ เราได้ตั๋ว แต่มีกฎเพิ่มคือให้เอาตั๋วให้เพื่อนคนแรกที่คุยด้วยเมื่อกี้ ก็คือเรา omg! หลังจากที่มาหลายปี และน่าจะไม่เคยได้เลย (ถ้าจำไม่ผิด) ปีนี้ได้เฉย #กราบส์
09.45 เริ่มเข้าสู่การมอบรางวัล Creative award โดยใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที
- social change: Carenation พวงหรีดกระดาษ
- mindshift: แฟนเพจมนุษย์ต่างวัย
- innovation: InsKru
Influence stage powered by TellScore:
1) Personalised Marketing
- คุณอ๋อม วรรณภาณี (Retailature)
- คุณหนุ่ย ณัฐพล (เพจการตลาดวันละตอน)
- คุณพีท พีระภัทร (IndexLivingMall)
- Mod: คุณอุ้ม
คุณพีท: ปัจจุบันเรา focus ‘what’ มากกว่า ‘why’ to do ทัศนวิสัยคือสิ่งที่เห็นด้วยตา วิสัยทัศน์คือสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยใจ ฟังแล้วต้อง inspire เช่น lego คือการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ทำให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์
Online business ได้เปรียบตรงที่เอา data มาปรับใช้ได้ เป็นเพียงแค่ marketing channel แบ่งออกได้เป็น 5 stages คือ
- performance marketing and marketplace
- Data measuring แบ่งได้เป็น 6 แบบ
- omni channel and personalisation
- business fundamental
- business innovation
คุณหนุ่ย: เราอยากรู้จัก รู้ใจลูกค้า ถ้ามีสาขาเดียวเราอาจจะจำได้ แต่ถ้าเรามีหลายสาขา จะรู้จักได้ยังไง? ก็ต้องมี data ไปในแต่ละสาขา เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยให้เราจำลูกค้าได้
คุณอ๋อม: เริ่มจากการทำ big data เมื่อสามปีที่แล้ว แต่กว่าจะเข้าไปถึงผู้บริหารที่เข้าใจเรื่องนี้ก็มีความยากอยู่ “ถ้าเราอยากจะเป็น leader จริงๆ คือเราต้องทำมันให้ดี ไม่ใช่ทำมันให้เยอะ” ที่ทำบริษัทนี้เพื่ออยากจะเข้าใจลูกค้าจริงๆ จับ signal จาก Google, Facebook, ฯลฯ
คุณหนุ่ย: Amazon เค้าทำ hyper-personalisation ดีมาก เก็บทุกการ visit เลือกส่งอีเมลหาช่วงเวลาที่เราน่าจะซื้อ โดยเนื้อหาอีเมลก็ customize ตามความชอบ หรือบริษัทก่อสร้าง เลือกส่งอีเมลโปรโมชันส่งหาเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสิ่งนี้ เช่น ช่างกระเบื้อง ก็ได้แค่โปรโมชันกระเบื้องเท่านั้น ถ้าธุรกิจไม่ใหญ่มาก เราสามารถใช้คนได้แต่ถ้าลูกค้าเป็นหลักล้าน ก็ต้องเอาเทคโนโลยี AI มาช่วย เพื่อ segmentation ลูกค้า
คุณพีท: ถ้าเราทำ personalised เพื่อ marketing มันจะไม่ work ถ้า place ไม่ได้รองรับ อย่าง index จะมี unique team ช่วย customised ความต้องการของลูกค้า
marketer ที่ดี ต้องช่วย focus production/operation/finance/technology ด้วย
คุณอ๋อม: จะแบ่งได้สองส่วนคือ Consumer, Corporate
Flagship product คืออะไร ปกติจะมี behaviour ลูกค้าของ product นั้นๆ ที่บริษัทรู้หรือยัง? โจทย์ที่ต้องการแก้ ที่ต้องการทำ personalised องค์กรสามารถเปลี่ยนอะไรได้บ้าง? NextBest คือ เอาข้อมูลที่ ai แนะนำมาให้ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง
คุณอ๋อม: Start when you not ready ไม่ต้องรู้ทุกอย่าง ตอนนี้เราก้าวเกินธุรกิจใหญ่ไปแล้ว You have to know your Best customer -> find insight -> dig down -> …
lifelong, lifetime คนเราไม่เหมือนกัน อย่าเพิ่งทำแล้ววัดผลเลยตั้งแต่ครั้งแรก
แนะนำให้ขายของแบบสุจริตตอนมืด
คุณหนุ่ย: อยากรู้จัก/เข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น การมี tools ที่ดีแต่ใช้ไม่เป็น ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วค่อยทำ personalised เช่น คอร์สเรียนนึงแจกหนังสือให้กลับบ้าน แต่หนังสือนั้นไม่เหมือนกันเลย (ทำได้ เพราะธุรกิจยังเล็กอยู่)
คุณพีท: Learn but never copy, copy you will die. YT ในปี 2006 มีคนใช้งานมากกว่า FB แต่พอ Google ทำ G+ ในปี 2011 ตอนนั้น FB มีคนใช้งานมากกว่า YT แล้ว เมื่อปลายปี 2019 YT เปิด subscription คนที่จะต้องกลัวคือ Spotify ถ้า Google มี vision ที่ชัด ด้วยความที่ AI เค้าดีสุด เค้าสามารถกลับมายืนต่อได้
2) Crowd Pleasure Behind the scene
- คุณบอส อิทธิศักดิ์
- คุณเอ๊ด7วิ ญาณวุฒิ
- Mod: คุณเต๋า
คุณบอส: ทำงานดีล KOL, เป็นแอดมินเพจอยู่สองเพจ เป็นเพจเกรด S (คือเหนือ A ขึ้นไปอีก)
คุณเอ๊ด: เสือร้องไห้ ช่วงแรกๆ creative จะคล้ายๆ พี่เอ๊ด7วิ
YT กับ FB เป็นคนละโลก เวลาคิดงานของเสือร้องไห้ จะ custom ให้ตรงกับ character YT วิดีโอจะเป็น vlog ยาวๆ หน่อย พาไปนู่นไปนี่ ส่วนพี่เอ๊ด7วิ จะเน้น FB คือขายของเลย ตัวที่ยอดฮิตตลอดการน่าจะเป็น 7E (ตัวแรกจริงๆ คือ hotel combine) ถ้า product ของคุณมันดี ทำให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้น ยังไงคนก็แชร์ต่อ ไม่ต้องบรรยายอะไรมากมาย ไม่ต้องเป็น KOL ก็ได้
คุณบอส: พอเราอยู่ในวงการ เราก็จะมองเห็นว่าเพจไหนเหมาะกับ content แบบไหน audience ของเพจนั้นชอบแบบไหน video หรือ photo
เราอยู่ในยุคที่การโฆษณาไม่ใช่เรื่องอี๋ ถ้าคลิปนั้นมันให้อะไรกับเรา แต่ไม่ใช่ทุกเพจที่จะทำโฆษณาได้ อย่าเอาแบรนด์ตัวเองไปครอบเพจ
คุณเอ๊ด: ถ้าเงินไม่เข้า จะไม่ทำคลิป เป็นเพจที่ตั้งใจขายของตั้งแต่ Day1 “มันเกี่ยวข้องกับเค้ายังไง ได้ประโยชน์ตรงไหน” อย่างตอนเราเล่นดนตรี เวลาเรา read audience แล้ว เราจะคิดว่า “เพลงอะไรที่เราเล่นแล้วจะทำให้คนฟัง” (เคยอยู่ jetset’er) การทำเพจก็เช่นกัน รู้จักคนฟังที่อยู่ที่นั่นก่อน แล้วค่อยเอาอะไรไปเสียบ แล้วสิ่งนั้นควรมีประโยชน์พอให้เค้าฟัง
คุณบอส: target audience/audience อาจจะเป็นคนละกลุ่ม เช่น แพมเพิร์ส คนใช้คือเด็ก แต่คนซื้อคือแม่ บางทีเราทำแบรนด์เพื่อให้เค้ารักสิ่งนี้ บางทีเรายิงกว้างเพื่อให้คนที่อยู่รอบตัวเค้าเห็น และเข้าใจว่ามันดีเหมือนกัน
คุณเอ๊ด: เดี๋ยวนี้มันเปิดหน้าชกกันแล้ว “คนมันไม่ได้เปลี่ยนแปลง เราเอาแต่ใจตัวเองมานานแล้ว” แต่เมื่อก่อนมันมีแค่ TV หนังสือพิมพ์ให้ดู สมัยก่อน “จน เครียด กินเหล้า” มันเป็นไวรัลได้โดยไม่ต้องมีออนไลน์ ปัจจุบันพี่ต่อทำโฆษณาอะไรออกมา คนก็ยังแชร์อยู่ดี
คุณบอส: เราเล่น FB กันมาเป็นสิบปี ตอนปี 2015 ที่ดังคือ “เหนียวไก่” ทั้งๆ ที่เรารู้สึกว่ามันนานมากแล้ว ผ่านไป 5 ปี status ของ target มันเปลี่ยน เช่น มัธยม → มหาลัย, มหาลัย → ทำงาน/สร้างครอบครัว
content เดี๋ยวนี้มัน flood มาก เมื่อวานดูอะไรก็ไม่รู้
เราทุกคนเป็น influencer ได้ เป็น micro ได้ ทุกคนพร้อมจะเล่าเรื่องของตัวเอง แต่เรามีเวลารับข้อมูลเท่าเดิม
internet ก็เร็วขึ้นและถูกลง ดูคลิปยาวๆ ได้แล้ว เราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง (ในเมือง) แล้วคน ตจว. มันเร็วเท่ากันไหม? ลองเล่น Facebook Lite ดู แล้วจะเข้าใจเค้ามากขึ้น
เมื่อก่อนแม่เราที่เราไล่เค้าไปนอน ตอนนี้กลายเป็นเราต้องไล่เค้าไปนอน เป็น online people หน้าใหม่ หรือเด็กประถมที่เมื่อก่อนไม่มีมือถือ แต่ตอนนี้มีเป็นของตัวเอง
คุณเอ๊ด: สำหรับคำว่า 6 วินาที — ทุกวันนี้ก็รับมืออยู่แล้ว เราต้องดึงเค้าให้อยู่ โดยระหว่างคลิปจะต้องหามุกอะไรมาวางเพื่อดึงความสนใจเรื่อยๆ
คุณบอส: 6 วิ มันอาจจะ catch คน เหมือน trailer หนัง แต่ไม่ใช่ว่า 6 วิรอด แล้วมันจะรอด สังเกตเช่น คลิปดราม่าออนไลน์ที่มันเกินสิบนาที ทำไมเราดู? เพราะเราไม่อยากตกเทรนด์ เดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
การทำการสื่อสารคือเกม ต้องรู้ว่า platform นี้มันต้องเล่นยังไง เช่น FB คนดู 1M view แต่ใน YT คนดู 8k “เราต้องเข้าใจก่อนว่าเล่นยังไง แล้วจะเอาชนะยังไง” เช่น การตั้งรูป cover สวย แต่ autoplay คนก็ไม่เคยเห็น cover อยู่ดี
รูป floppy disk เด็กรุ่นหลังอาจจะไม่เข้าใจแล้ว
real time content มันอาจจะเวิร์คสำหรับ 6วิ เช่นเรื่องการเมือง ที่ทุกคนมีความเข้าใจพื้นฐานเดียวกันมาก่อน
มันยาวได้ แต่ทำยังไงให้คนดูต่อ เหมือนมีปมเรื่อยๆ ทุกสิบวิ อยากดูไปเรื่อยๆ ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ถ้าทำมาให้เค้าดูเฉยๆ เค้าก็หลุด
คุณเอ๊ด: เวลา mkt ทำงานกับ kol ควรจะ ไปดูซักนิดนึงว่า เพจเค้าทำอะไร ทำงานแบบไหน ดูวันละเพจก็ได้ (KOL เองก็ต้องดูเทรนด์ ดูงาน) พอมีงานเข้ามา จะรู้ได้เองว่าเราควรเลือกเพจไหน อย่าไปครอบเค้าเยอะ รวมถึงเคาะประตูคุยกับเจ้านายยังไงเพื่อให้งานที่เราเสนอมันผ่าน
creative เมืองไทยเก่งมาก แต่ที่ทำให้คลิปไม่น่าดูคือลูกค้า (ตัวใหญ่)
คุณบอส: ปัจจุบันเป็นโลกของความ customised มัน niche มาก ไม่ mass แล้ว เราไม่สามารถเข้าใจโลกของทุกคนได้ แต่ละ platform ต้องตัด video ที่แตกต่างกัน หรือถ้าไม่มีเงินก็ลง mass ไปก่อนก็ได้ แล้ว platofrm ไหนเวิร์คค่อยโยนเงินเพิ่มลงไป ทุกวันนี้คือการลองและเก็บประสบการณ์ learn fast, fail fast
ต้องทำให้เค้ารู้สึก การรู้สึกมันทำให้เราจำได้ แบรนด์ก็เหมือนกัน ทำยังไงให้คนรู้สึก
ลูกค้าส่วนใหญ่คิดว่าเพจดังคือเพจที่เค้ารู้จัก แต่จริงๆ อาจจะไม่ใช่ target เค้าก็ได้ ถ้าในองค์กรไม่มีคนที่อินในเรื่องนั้น ก็ให้ research อย่าเชื่อมั่นในความคิดตัวเองที่ไม่ได้อินในเรื่องนั้น
ไม่ใช่ทุกเพจที่ทำ ads ได้ ต้องคุยและ consult กัน
โฆษณาไทยสไมล์ ที่ใช้เพลง “แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร” มันดังจาก the voice มาก่อน พอ tvc เอามาใช้ มันก็ดังต่อ แต่ก็ต้องใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ถ้าเอามาใช้ตอนนี้ก็อาจจะไม่ดังเท่ากับการใช้ 5–6 เดือนที่แล้วก็เป็นได้
คุณเอ๊ด: เกมเปลี่ยน คนไม่เปลี่ยน คนที่รอดู เค้าก็จะรอดู แต่ platform มันเปลี่ยนไป tiktok (15วิ), twitter มันกำลังมา เราต้องไปลงหรือเปล่า?
อย่าง tiktok ที่เห็น content คือเกรด S (จีน, อเมริกา) แต่ในไทยคือ -_-
ถ้ามี content ที่เข้าไปได้ ไม่ต้องเป็น be the best ให้เป็น be the first เข้าไปเลย
คุณบอส: tiktok เหมือนเป็น me video เข้าเร็วก็ได้เปรียบ
reference การที่มีคนทำไปแล้ว และเราคิดว่าจะทำบ้างเพราะมันเวิร์ค มันก็จะไม่รอด อย่าไปลอกเค้า ให้หาทางที่เฉพาะทางของตัวเอง
influencer จะมีสิ่งนึงในใจว่า เราจะไม่ทำ content ซ้ำ แต่บางทีการเอามารีรันอาจจะดีก็ได้ เพราะ generation ใหม่ยังไม่เคยเสพมาก่อน
มนุษย์เรายังเป็นคนเดิมเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว ถ้าเราชอบอะไร เราจะมีรากความรู้สึกของมัน เราเศร้า/โกรธเกลียดเรื่องเดียวกัน แต่ตลกคนละเรื่อง เช่น หนังวันครู7E หรือผู้ร้ายที่ยิงเด็กตอนปล้นทอง
ทำอะไร ให้คิดถึงใจคนดูให้มากขึ้น
คุณเอ๊ด: ยังมีช่องว่างให้เปิดเพจเสมอ เช่น มีบังฮาซันโผล่ขึ้นมา หรือผมมาแร๊พขายของ คนที่อยู่ตรงนี้มีมุมมองที่ไม่เหมือนผม ผู้หญิงอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เข้าใจกันเอง มันมีที่โล่งอยู่ ให้ไปเติบโตที่ใหม่ อย่าเติบโตเป็นต้นไม้เล็ก ใต้ต้นไม้ใหญ่ เพราะแดดมันลงมาไม่ถึง
คุณบอส: ถ้าเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ระยะยาวมันก็ไม่รอด เช่นทำเพจความรักช/ญ แต่ตัวเองเป็นเลสเบี้ยน เรื่องทีมก็สำคัญ ควรหา partner ที่ช่วยกันและกันได้
การทำเพจก็เหมือนกับทำร้านอาหาร ต่อให้วันนี้ไม่มีคนกินเลย แต่ถ้าร้านอาหารอร่อย วันนึงมีคนมารีวิว ร้านก็ดังได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราอดทนทำมันได้มากแค่ไหน
การเป็น food blogger ตอนนี้มันยากแหละ แต่ทำวันนี้ก็ดีกว่าพรุ่งนี้
คุณบอส: ของเพจผม like page ขึ้นมาเร็วมาก จากหลักหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน ตอนแรกก็เครียดกับยอดไลก์ แต่ถ้ามีความสุขจะทำก็ทำไปเถอะ การที่ยอด like ถึงมันก็เป็นความสบายใจ ก็ไปโฟกัสยอด engagement แทน แต่ในมุมแบรนด์มันช่วยเรื่อง reputation
เพจที่ไม่ boost — organic คือได้ target ที่ตรง แต่การ boost ช่วยกระจาย content เพื่อ remind target ได้
คุณเอ๊ด: ทุก post ของผมเหมือนทำเพจใหม่ จะมีการ boost เสมอ เพราะ Mark Z. กด reach ต่ำมาก เช่น ลูกค้าให้มา 100k “เอาไปเลยค่ะ boost post ด้วย”
การทำ video ภาพจะสวยมากกว่า photo, drawing, ถ่ายจากมือถือ แต่ค่า cost การผลิตก็เยอะกว่า
คุณเอ๊ด: หาพื้นที่ของตัวเอง / คนที่ทำ mkt ก็ต้องเข้าใจลูกค้าและบอสตัวเอง
คุณบอส: นอนพักบ้าง detox บ้าง ทำให้มีเวลาในการคิดมุมอื่นๆ มากขึ้น / ทำ content ดีมาแล้วก็ boost เถอะ / มีความสุขกับ social ได้ แต่อย่าเอามากดตัวเอง ให้รู้สึกว่าดูหนังเรื่องนึง ใช้ชีวิตกับครอบครัว วางมือถือบ้าง
Creative Stage:
3) The Space / Time Conundrum: Moving Design from Interaction to Strategy
Gordon Alexander Candelin, Design Director at McKinsey อยู่คนไทยมาได้ 9 ปีแล้ว แต่พูดภาษาไทยไม่ค่อยเก่ง (แต่จริงๆ คือแนะนำตัวเป็นไทยเก่งมากจ้า)
มุมมองที่หลากหลายช่วงสร้าง product/service ที่ดี
conversation, design ในสิบปีข้างหน้านี้จะเป็นยังไง? การงดแจกพลาสติกในไทยถือเป็นการ shift ที่ดี
- Space — context คือโลก สิ่งแวดล้อม สิ่งที่อยู่รอบตัวเรา Constraints สิ่งที่เป็น pressure และ principles หลักการ
- Time คือเรื่องการเปลี่ยนแปลง
need to apply some focus, design where we are going to look
Interaction (smallest point) < Experience < Strategy (biggest point เช่น regulation)
- Interaction: making things, working on specific things — the smallest things
- Experience: curious about what’s going on, discover need
- Strategy: have a conversation of value design — talk to people who bigger as we can ‘how design can make change?’
ผลงานที่เคยทำสมัยปี 2011 เวลาผ่านไป ในปี 2018 จอ interactive directory board ที่เค้าเป็น lead ใน project นี้ ยังคงถูกใช้งานอยู่ เมื่อเค้ากลับไปที่ HK อีกครั้ง
project ที่เค้าทำก่อนที่จะ join McKinsey คือ ตู้ kiosk ของ rabbit awards ที่อยู่ใน dynamic space เริ่มด้วยการทำ graphic research → talk to people จากนั้นก็ให้เอา post it สีชมพูแปะ เป็นการดู heap map แบบ offline →ได้ส่วนสูงของประชากร → ทำ persona →ทำ prototype → test คือเล่าให้ฟังว่าทำงานเกี่ยวกับ experience design มานั่นเอง
Over 5years ที่ McKinsey ได้ช่วยหลายบริษัททำ experience design อย่างจริงจัง พบว่า 32% คือมี higher revenue 56% คือ total return to shareholder
ปัญหาที่พบส่วนมากคือ ไม่ทำ prototype /ไม่เอา user มาเป็นหลักในการทำ new product /รวมถึง leader รู้สึกว่าไม่สามารถ objective decision ในเรื่อง design ได้
Design is a complicate, if you are the designer แล้วมีคนถามว่า design อะไร พอตอบว่า experience design คนก็จะทำหน้างงไปอีก
What can design do?
having a deep understanding of person with whom the designer is communicating — Don Norman
UX กับ UI เป็นคนละ principal กัน Pure research (big part of point interaction), IA, IxD ก็เป็นคนละส่วนกัน
Research — IA — UX — IxD — UI = Screen
CEO อาจจะสนใจงานที่เราทำ แต่จะไม่มีทางลงมานั่งคุยว่าทำอะไรอยู่ ยากแค่ไหน เพราะพวกเขาไม่มีเวลามากพอ สิ่งที่ควรต้องทำมี
- Curiosity mindset (other space that involved, what happened beyond and tries to understand that)
- Learn the language of the business/strategy — got a lot of support but we need to communicate it (what design can do?)
- Have the conversations — be prepared, what design can do? what’s the value? the impact that design can bring?
designindex.mckinsey.com — can download designer port.
//พักไปกินข้าวเที่ยง กินชาเขียวเย็นที่ Lawson และเดินดูบูธ//
Biz stage powered by Bangkok Bank:
4) “Festivalization” The Next Big Thing in Live Events
MICE intelligence talk #1
- Mod: คุณว่าน
- คุณโรส MICE (TCEB)
10 ปีที่ผ่านมา digital ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป พบว่า live event ลูกค้ากลุ่มใหญ่คือ กลุ่มมิลเลเนียมคนที่อายุ 24–39 ปี เป็นพวก work life integration รู้ตัวว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ทนกับอะไร คนจัดงานก็จะปวดหัวว่าจะ personalised ยังไง เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านี้
Festivalisation ทำยังไงที่จะ engage คนกลุ่มนี้ได้ ให้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจ และได้ความ loyalty สิ่งที่ต้องมีคือ
- Entertainment เป็น element เบื้องต้น มีการต่อแถว ลุกไปมาได้ถ้า content ไม่ตอบโจทย์ ไม่ใช่แค่การเอานักดนตรีมาแสดงหรือเปิดแผ่น
- Variety of content และ how to deliver
- Technology ทำให้ลูกค้า access ข้อมูล ทางด้านผู้จัดก็สามารถ personalised content หาลูกค้าได้
- Creativity ไม่ว่าเราจะ transform ตัวเองด้วยอะไร ถ้า content ไม่ real ไม่ตอบโจทย์ ไม่โดดเด่น ก็จะไม่ success
ทำเพื่อสร้าง Customer Experience
งานที่รู้จักกันน่าจะเป็น The Next Web และ SXSW ในมุมมองของภาครัฐ เราอยากให้เกิดงานแบบนี้ มีการ engange กับ community เกิดการสร้างรายได้ ในเมืองไทยจะมี affiliates world conference กับ Bangkok music city
Rosalind Croad — Executive Director affiliates world conference
มาที่ไทยช่วงสงกรานต์ เพื่อมาจัดงานประมาณ 5 ปีที่แล้ว และเกิด amazing jounrey
AWA in 10 numbers —งานที่จัดเพื่อ คนที่ทำงานด้าน online marketing
- 2 cities in Bangkok (Dec) and Barcelona (July) — เลือก location ที่คิดว่าคนอยากมา แล้วมีความสุข สถานที่ๆ อยาก hangout
- 270% growth from 1,400 to 3,800 attendees
- 80 nationalities (20–35 years old) 98%+ เป็น international ไม่ใช่แค่มาเพื่อ business ในภาพจะเห็น male เยอะ แต่เราก็ design เพื่อ ผญ ด้วย ให้ความรู้สึกของความ exclusive
- 4000+ beer served in 3 days คนเราซื้อ ticket เพื่อ make a good time ‘make an environment’ to make sure that people meet others. ไม่ได้ห่วงเรื่อง stage, layout มากเท่าสิ่งที่อยากให้คน networking กัน เค้าจัดงานที่ Centara grand และตอนกลางคืนก็จัดที่ใกล้ๆ
- 24 beer pong matches ตอนกลางวันที่ทุกคนเครียดเรื่อง business / การมีกิจกรรมแข่งขันที่สนุก ทำให้เห็นอีกด้านของคน เห็นความ fun แทนการแลก name card มีรางวัลให้คนชนะ แล้วคนที่ชนะก็ซื้อเบียร์แจกคนอื่น ‘make a community’ เพราะพวกเราคือ social animal / bangkok is amazing at night เค้าจัด party ในกลางคืนของงานวันที่สอง (วันสุดท้าย)
- 1 Jesus guy มาถึงสองปี (แต่งตัวเป็น jesus มาเดิน) แล้วผู้คนก็ไปถ่ายรูปด้วย — they don’t want to wear suits everyday
- 80 Bangkok street food tables — enjoy the good meal to share the moments together ถ้าอาหารไม่อร่อยก็ไม่เกิดความสุข
- 10 Thai massage stations — people can stop by 10 mins and have a massage
- 1/2 day exclusively for ladies
- 1 event app
so many fun things:
- ทำ Beer garden ที่ outdoor ตอนกลางวัน
- ทำ landmark ให้คนอยากถ่ายรูปแล้วแชร์ on the social media
- ที่ Barcelona มีที่ให้กระโดดเล่น
- ทำอะไรให้น่าสนใจ ที่คนจะหยุดดู และ engage กับมัน
- screen ให้ถ่ายภาพ ที่ถ่ายออกมาแล้วเหมือนตัวเองอยู่ใน magazine
- hanging swing, photo booths
- คุณภูมิ MICE, TCEB
- คุณพาย คุณต้อม co founder, Bangkok music city
เป็น industry event ที่ให้ตัวแทนจากค่ายเพลง / music owner / คนที่จะทำธุรกิจในด้านนี้ บินมาที่ประเทศเรา ถ้าสนใจก็สามารถดึงเอาไปเล่นที่บ้านเค้า ในการที่จะ show case วง จำเป็นต้องมี show case stage พอมันเปิดให้คนเข้าได้ ก็เลยกลายเป็น music festival ไปโดยปริยาย ใช้ย่านเจริญกรุงเป็น space ในการจัดงาน คนดูก็จะเดินไปเดินมาในย่านนี้
มีงานสไตล์ sxsw อยู่ทั่วโลก เรียกว่าเป็น show case festival เอาคนที่เป็น emerging (กำลังจะดัง) มารวมกัน เป็นสิ่งที่เราอยากไปให้ถึง จริงๆ วงดนตรีในเมืองไทยมีเยอะมากมาย แต่ไม่เป็นที่รู้จัก ตอนนี้หลายๆ วงได้มีโอกาสไปแสดงที่ต่างประเทศ แม้จะร้องภาษาไทย เราก็เลยเชิญพวก buyer ต่างประเทศกว่า 60 คนมาดูวงที่เมืองไทย ซึ่งก็เกิดการถูกใจ และอยากพาไปที่ ตปท. ด้วยในหลายๆ วง
สิ่งที่อยากได้นอกเหนือจากการมางานเฉยๆ คือ คนมาที่ไทยเพื่อมาดูดนตรีตลอดปี (เหมือน sxsw) ให้ กทม. เป็นเวทีสำหรับศิลปินจากหลายๆ ประเทศมางาน และอยากให้เกิดในจังหวัดอื่นๆ ด้วย
จากนั้นก็ย้าย panel การ sharing ประสบการณ์ ของเรื่องนี้ต่อไปที่ห้อง action #1 (เนื่องจากเวลาจำกัด)
5) Future of education
(เป็น session ที่ชอบมากที่สุดของวันนี้เลย)
- คุณวรรณี เจียรวนนท์ รอสส์
- Mod: คุณอาร์ท ahead asia เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ 5 ปี ตอนนี้ก็ยังสอนอยู่
จริงๆ ไม่ได้เป็นเด็กที่ชอบเรียนหนังสือ แต่พอไปเป็น Banker ไปทำธุรกิจตัวเองที่ HK มาแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันไม่ได้ตอบโจทย์ตัวเอง ได้เห็นความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
ตอนที่เพิ่งโตมา ทุกอย่างมันบูมมาก ไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำอะไร จนตอนที่ลูกจะเข้าเรียน ก็จะส่งลูกไปเรียนที่ HK เพราะอยากให้ลูกได้ภาษาจีน (สามีเป็นคนฮ่องกง) พอเห็น statement ของโรงเรียน ที่อยากสร้างโลกให้ดีขึ้น อีกทั้งเป็นระบบ IB ที่เป็นหลักสูตรที่จัดตั้งจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก ที่สองปีสุดท้ายจะยอมรับและให้เครดิตบางส่วน พร้อมกับมีคำว่า Caring, Reflection (ตัวเอง ว่ามีอะไรที่ improve ได้ไหม), Risk taker (กล้าแบบที่ศึกษามาแล้ว แล้วค่อยเสี่ยง) ทำให้คิดว่าหลักสูตรนี้ใช่เลย และเราอยากจะทำตัวนี้
ตอนนั้นมีความเชื่อว่า “ความเชื่อ/character มันสร้างแต่เด็ก” ถ้าอยากจะสร้างคน ควรสร้างตั้งแต่เด็กจะง่ายกว่าการสร้างตอนเป็นผู้ใหญ่
ถ้าสร้างสิ่งดีตั้งแต่เด็ก สิ่งนั้นจะอยู่กับเค้าตลอดไป
ที่เลือกโรงเรียนนานาชาติ เพราะว่าพ่อแม่จะมีความเป็นผู้นำระดับหนึ่ง ลูกของเค้ามีโอกาสมากที่สุด (กว่าเด็กบนดอย) เพราะเค้ามีเงิน เค้าก็มีโอกาสมากที่จะเป็น leader
เชื่อไหมว่า คนที่ทำให้โลกนี้ยุ่งเหยิง เกิดจากคนมีการศึกษามากที่สุด บางทีก็ถามตัวเองว่า ถ้าเกิดเราทำให้เด็กคนนึงฉลาด แต่จิตใจไม่ดี เห็นแก่ตัว จะเกิดอะไรขึ้น? กับอีกคนที่มีความเมตตา เราอยากให้เค้าเป็น leader ในธุรกิจของตัวเอง ไม่ต้องทำมูลนิธิ แค่อยากให้เอาเงินไปบำบัดน้ำเสียก่อนที่จะซื้อรถหรูคันใหม่ เช่น กำไร 30 ล้าน แทนที่จะซื้อรถคันใหม่ เอาเงินไปปรับปรุงระบบดีไหม เอาเงินไปช่วยลูกพนักงานดีไหม แค่การไม่ทิ้งน้ำเสียลงในคลองก็มีผลกับสิ่งมีชีวิตมากมาย
อาจจะไม่ได้ฉลาดที่สุด แต่เป็น leader ที่ตัดสินใจทำในเรื่องดีๆ
ผู้ปกครองทุกคนส่วนใหญ่ อยากให้ลูกเป็นคนดี แต่พอโตขึ้น โลกมันยุ่งยากมาก ก็กลายเป็นทำเงินก่อนทำดี อาจจะลืมไป แต่หลักสูตรเราในโรงเรียนที่ให้ทำคือ ทุก project ที่ได้ทำ จะมีการ analyze ว่าเกิดผลดี/เสียยังไงกับชุมชน พอเป็นเด็กโต ก็จะมีเรื่อง community service ออกไปช่วยเหลือสังคม ถ้าสองปีสุดท้ายทำไม่ครบ ก็ไม่จบการศึกษา
เปิดโรงเรียนมาจะ 20 ปีแล้ว ตอนแรกก็นึกว่าจะมีคนมาเรียนเยอะมาก แต่เปิดมาก็มีคนเรียนแค่ 33 คนรวมลูกตัวเองด้วย ทำให้เราคิดว่า คนไม่ได้อยากเรียนภาษาจีนเยอะขนาดนั้นเนอะ แล้วอีกไม่นานก็มีอีกหลายโรงเรียนผุดขึ้นมาสอนภาษาจีน
น้องสาว คุณทิพาภรณ์ ดูแลโรงเรียนเด็กยากไร้ เด็กด้อยโอกาสจากทั่วประเทศ แต่สำหรับตัวเองคิดว่า ถ้าคนกลุ่มที่มีความพร้อมนี้เป็นคนดี จะเปลี่ยนประเทศได้เยอะมาก และจะไปช่วยคนอื่นได้อีกมาก
เราไม่ได้ perfect แต่ต้น พัฒนาหลักสูตรตลอดเวลา ทำให้เรายังยืนอยู่ได้ แม้จะมีโรงเรียนอื่นมาสอนภาษาจีน การที่ใช้ IB + สามภาษา ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกๆ สามปี จะมีการปรับหลักสูตรของทั้งสามภาษาให้เรียนได้และไม่ทุกข์ทรมานเวลาเรียน
หลักสูตรมันเป็นแค่ guideline แต่มันสามารถพัฒนาให้เหมาะสมไปกับเวลาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ในโรงเรียนเราเอง ถ้าพูดถึง high school แค่ 24 credit ก็จบได้ แต่ถ้าจบ IB diploma จะเพิ่มมา 8 วิชา (32 credit) ก็คือเอาไปเพิ่มในมหาวิทยาลัยได้ เด็กก็จบเร็วขึ้น
ACC ที่จบได้คือประมาณ ม.4 ปัจจุบัน แล้วก็ไปเรียนต่อ ออกมาทำงานก็ประมาณ 18 ปี ก็มีความเป็นไปได้ ที่ UK ถ้าลง hotel management เรียนสามปี แต่อีกปีคือต้องทำงาน
ทำไมในอดีตคนจบ ป.4 รับราชการได้ เพราะเค้าอ่านออกเขียนได้ สอบได้ (แต่ไม่ได้หมายถึงทุกแขนงวิชา) ถ้าเรียนด้าน marketing, management จริงๆ มันมีเล่มเดียว finance ก็ไม่ได้ยาก ทุกคนทำได้ แต่ที่ยากคือการบริหารคนมากกว่า ซึ่งในหนังสือสอนไม่ได้ ตัวนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวตั้งแต่เด็ก
ผู้บริหารหญิงสองคนที่ได้รางวัล asian awards คนนึงจบ ป.4 แต่พูด en ได้ ส่วนอีกคนเป็นคน export ผลไม้ใหญ่ที่สุดของเชียงใหม่ การศึกษาสูงอาจไม่ได้การันตีเสมอไป
เห็นด้วยว่าช่วงมหาวิทยาลัยควรมีการทำงานจริง หรือทำโปรเจคกึ่งจริง ไม่งั้นจะไม่รู้เลยว่าทฤษฎีทั้งหมดที่เรียนมามีประโยชน์ยังไง การขายของให้ได้กำไร 10k บาทโดยไม่ต้องขอใคร มันยากมากเลยนะ จะได้เข้าใจว่าการที่พ่อแม่ซื้อหนังสือ เสื้อผ้า ซื้อมือถือให้ มันไม่ได้ง่ายเลยนะ
ตอน grade 11 เด็ก 40 คนต้องหาเงินคนละ 10k บาท โดยที่ไม่ขอพ่อแม่ ทำอะไรก็ได้ จะประมูล จะขายของอะไรก็ได้ ที่เด็กจะได้เรียนรู้คือ การทำงานเป็นกลุ่ม การจัดการ event ที่ตัวเองจะทำ และเข้าใจว่า เงินมันไม่ได้หาง่ายอย่างที่คิด
สกิลสามารถเรียนรู้ด้วยสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่ที่บ้าน
[โชว์ภาพดอกไม้] รู้ได้ไงว่าข่าวนี้จริง หรือไม่จริง?
80% คนเชื่อว่าดอกไม้นี้มาจากญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ภาพไม่ได้บอกเลยว่า สองภาพนี้ถ่ายที่ญี่ปุ่น
สกิลที่จะแยกว่าความจริงคืออะไร
สามารถเอามันไปทำประโยชน์ในชีวิตได้หรือเปล่า
และต้องถามคำถามให้ถูกด้วย เด็กต้องสงสัยให้ถูกเรื่อง
ระบบการศึกษาไหนดีที่สุดในโลก? ที่ตอบว่า Finland อันนี้จริงเหรอ?
อินเดียที่ได้เรียนก็ 60M คนแล้ว ห้องนึง 70 คน
ส่วน Finland มี 15 คน
ถ้าเอาระบบ Finland มาใช้กับไทยทั้งประเทศ มัน work เหรอ?
มันดีที่สุดสำหรับเราหรือเปล่า เหมาะสมสำหรับลูกเราหรือเปล่า
ถ้าถามคำถามไม่ถูกต้อง ก็จะได้คำตอบที่ไม่ถูกต้อง
ถ้า Google ว่า “ไก่มี hormone หรือเปล่า?” กับ “อาหารที่มี hormone เอสโตรเจน เยอะสุด?” จะพบว่ามันไม่ใช่ไก่ ถ้าถามถูก ก็จะได้คำตอบที่ถูก และเป็นความจริง
IB ในระบบเด็กเล็ก จะสอนให้เด็กตั้งคำถาม ไม่ได้ถามว่า ทะเลมีอะไรบ้าง แต่จะถามว่า อยากรู้อะไรเกี่ยวกับมหาสมุทรบ้าง เด็กก็จะตั้งคำถามในสิ่งที่เค้าอยากรู้
เคยช่วยลูกทำการบ้านเกี่ยวกับเรื่อง Explorer — กัปตันคุก ที่เจอ Australia, Canada, Hawaii เมื่อค้นข้อมูลจะพบว่า เค้าเป็น hero ของคนหลายประเทศ / ประวัติชีวิต / มารร้าย ค้าทาส ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ / การถกเถียงสองความเชื่อ
หลังจากอ่าน 10 articles เราจะตอบได้ไหม?
Explorer มันก็ดี ทำไมเราไม่ sharing กัน ทำไมต้องไปฆ่าเขา? เด็กที่เรียนระบบนี้ จะคิดแบบนี้เป็น
ถ้าอ่านข้อมูลแค่ 1–2 อันแรก เราจะเลือกซ้ายหรือขวา แต่ถ้าเราอ่านครบสิบอัน จะพบว่ามีจุดดี จุดเสียอีกหลายอย่าง
ถ้าเป็นคนมองบวก ก็จะเห็นโอกาสมากมายที่คนอื่นมองไม่เห็น
ครูที่จะสร้างเด็กแบบนี้ได้ต้องเป็นยังไง?
ก็ต้องเป็นครูที่ขี้สงสัย ครูไม่ต้องรู้ทุกอย่าง อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ครูไม่ต้องเก่งก็ได้ แต่ควรทำตัวให้เด็กเคารพ เวลาสอนก็ต้องให้เกียรติเด็ก เค้ารู้มากกว่าเราก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ถึงการเล่นหัวครู ต้องเข้าใจว่าการที่เด็กถามไม่ใช่การหยั่งเชิง การที่เค้าถาม/ตอบเยอะๆ เป็นเรื่องดี ครูต้อง open-minded ครูต้องเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง
IB ที่ high school ห้าม lecture ทั้งหมด ทำได้แค่ guideline เท่านั้น จากนั้นให้เด็กทำกลับมาส่ง เราจะไม่เรียนเรื่องการปฏิวัติอะไร ปีไหน เกิดเมื่อไหร่ แต่จะให้ทำ compare ระหว่าง ปฏิวัติในอดีต vs ปัจจุบัน ว่าเหมือน ต่างกันอย่างไร ทำไมสำเร็จหรือไม่สำเร็จ
พ่อแม่คือครูคนแรก ถ้ามีความ curious เราสามารถทำได้ตั้งแต่ที่บ้านกับลูก พอดูจบก็ตั้งคำถามให้คิดว่า ทำไมคนชอบดูหนังแบบนี้ ทำไม director เลือกคนนี้มาแสดง ทำไมเลือกพระเอกคนนี้ ถ้าเปลี่ยนตัวเลือก จะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ต้องรอให้โรงเรียนเปลี่ยนหลักสูตร แต่เริ่มได้จากที่บ้าน
เวลาดูหนัง action คนโยนของทิ้ง ทำไมพระเอกทำแบบนั้น?
เด็กเคยบอกว่า เค้าไม่ฉลาด เค้าไม่มีแม่บ้าน เค้าต้องเก็บเอง เสียดายของ แถมแก้วบาดอีก
พ่อแม่ที่บอกว่า ตัวเองเก่งทุกเรื่อง สร้างความเครียดให้ลูก ประโยคที่ว่า “ทำไมแค่นี้ทำไม่ได้” หรือการเอาลูกไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คือการทำร้ายลูก กลายเป็นลูกตัวเองไม่มีอะไรดีเลย
มองว่าตัวเองและพี่น้องโชคดีมาก ไม่เคยโดนถามว่าทำไมเธอเรียนไม่เก่ง แค่เรียนให้จบก็พอแล้ว แม่บอกว่า พ่อทำงานหนัก ลูกต้องตั้งใจเรียน
ทุกอย่างมาแล้วไปได้โดยไม่รู้ตัว แต่ความรู้จะอยู่กับคุณตลอดไป ไม่มีใครเอาไปจากคุณได้
การที่อ่านหนังสือกับลูกตั้งแต่เด็ก พูดคุยกับลูกตั้งแต่เด็กๆ พยายามให้เค้าคิด คือการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก พอเค้าชอบการอ่านแล้ว เค้าก็จะเติบโตมากับมัน
ชีวิตเรา จริงๆ แค่ algebra1 ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียน calculus เลย มันไม่ได้ใช้ ถ้าไม่ใช่สายอาชีพที่ต้องใช้อย่างสถาปัตย์ หรือวิศวะ
เรามีเด็กที่พ่อแม่พูด en ไม่ได้ แต่พูด en ดีมาก
บางคนที่เด็กเก่งจีนมาก แต่พ่อแม่เป็นไทย และอีกหลายเคส
เราไม่ได้ให้เก่งเทียบกับคนเจ้าของประเทศ มันขึ้นกับ inspiration ของพ่อแม่ด้วย
ถ้าส่งลูกไป inter แล้วลูกเก่ง China, EN ก็อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเก่งของภาษาไทยด้วยก็เป็นได้
ถ้าจบที่นี่ ที่ได้เลยคือ EN ส่วนอีกสองภาษาก็ไม่เป็นไร เค้าอาจจะเก่งอย่างอื่นก็ได้ เช่น เลข
ความรู้คือสมบัติที่สำคัญที่สุด ที่จะอยู่กับเราตลอดไป
อย่าตัดสินคนที่ภายนอกหรือทรัพย์สิน ให้ดูความเป็นคนดี จิตใจดีหรือเปล่า เราควรคบคนแบบหลัง — พี่ยามมาดูแล พี่แม่บ้านมาช่วยดูแล เราก็ต้องเคารพ ห้ามพูดจาหยาบคาย
ทุกคนมีค่าในสิ่งที่เค้าทำ ถ้าคุณไม่มีเค้า คุณอยู่ได้หรือเปล่า ถ้าอยู่ไม่ได้ เค้าก็มีค่าเทียบเท่าคนจบปริญญาเหมือนกัน
ในวันที่ production line มันพัง ระหว่าง engineer ที่จบ ป.ตรี ยังทำอะไรไม่ได้ กับคนที่จบ ปวช./ปวส. ที่สามารถซ่อมมันได้ ณ วันนั้น คนไหนมีค่ามากกว่า? คนไหนที่มาทำงานวันหยุดเพื่อมาซ่อมเครื่องที่พัง?
1st contract farming คือกิจการที่พ่อเคยพาเราไปดูตั้งแต่เด็กๆ เราซื้อที่ให้ สร้างบ้าน สร้างโรงเรียน คอกสัตว์ให้ พอ 7 ปี ทุกอย่างจะเป็นของเค้าหมด เราได้อะไร?
เราได้ของที่มีคุณภาพ เพราะมันคือของๆ เค้า เราได้ชื่อเสียงจากของที่ขายที่ต่างประเทศ ทุกวันนี้มีคนที่เลี้ยงหมูอยู่ มีกำไรอย่างน้อย 80k ต่อเดือน ลูกอาจจะจบแล้วไปทำอย่างอื่น ส่วนพ่อแม่ที่อยู่ที่บ้าน avg. คือ 80k-100k
ไม่ว่าจะอยู่ธุรกิจไหน ถ้า fair กับ staff, customer แล้วมันเป็นประโยชน์กับสังคม มันดีแล้ว
ถ้าตัวเองไม่ทาน อย่าเอาไปให้คนอื่นทาน
ถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งที่เราทำ เราไม่ควรเอาไปยัดเยียดให้คนอื่น
ในโลกนี้คนที่มีโอกาสได้เรียนจริงๆ ไม่รู้มีถึง 10% หรือเปล่าที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย การเรียนออนไลน์เป็นการลดความเหลื่อมล้ำ ถ้าครูเป็นคนเก่ง สอนเก่ง แล้วสอนออนไลน์ได้ แล้วได้รับเงินจาก YT ครูอาจจะไม่ต้องไปเป็นอาจารย์ในโรงเรียนก็ได้ แล้วถ้าโรงเรียนตามชายแดน อยากเรียนฟิสิกส์ ไม่ใช่จะหาครูได้ง่ายๆ smartphone ตอนนี้ไม่กี่พันบาทแถมผ่อนได้อีก การศึกษาจะเกิดผ่าน internet แต่พ่อแม่หรือโรงเรียนก็ต้องสร้าง curiosity ให้เด็กๆ ด้วย
การเรียนไม่ใช่แค่เรียน ควรทำอย่างอื่นด้วย อย่างตัวเองเรียนกลางคืน 3 ชั่วโมงตอนเรียน ป.ตรี (5 วิชา) กลางวันก็ต้องรับส่งน้อง แล้วก็ทำงานบ้านด้วย
ในช่วงวัยประถม-มัธยม เรา guideline ให้เค้าดีๆ ควรให้เค้ารู้ว่า โลกนี้มีความเป็นไปได้เยอะแค่ไหน มีวิชาอะไรที่เปิดโลกให้เค้าดู ตอนประมาณ ม.4 เด็กจะได้เรียนวิทย์สี่สาย เรียน art, tech เรียนแล้วชอบทางไหน? ความที่ทำ research เป็นอยู่แล้ว ก็ไปหาข้อมูลเองได้ แล้วก็ไปวิเคราะห์ให้ถูก
deep learning เราสอนตั้งแต่เด็กๆ เด็กเล็กจะเรียน สัตว์ที่จะสูญพันธุ์ ทำไมถึงจะสูญพันธุ์ เกิดเพราะอะไร? เช่น ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู การตัดงา/นอ/ขน มาขาย สัตว์มี 7 ทวีป แต่ละกลุ่มจะได้คนละทวีป ก็ต้องไปศึกษาว่ามีกี่ชนิด แล้วมันสูญพันธุ์เพราะอะไร ต่อให้ต่อไปต้องไปทำกับทวีปอื่น เค้าก็สามารถทำได้ มันคือ skill set
ได้ถูกเชิญไปงาน Forum of education ไปเป็น panel
Jack ma เป็นคนเดียวที่ทำธุรกิจแล้วเป็นครู
ธุรกิจมันเปลี่ยนเร็ว ทำไมมหา’ลัยยังไม่เปลี่ยน? หลักสูตรยังแทบจะเหมือนเดิมใน 20–30 ปีที่แล้ว มีแค่บางมหา’ลัยที่ยอมเปลี่ยนแปลง นักธุรกิจ/นักการศึกษา/รัฐบาลที่ทำเรื่องนี้ ควรมาคุยกัน แล้วก็คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไงกับระบบการศึกษา แต่ละคนก็อาจจะมี ego อยู่ ควรต้องลด โลกสมัยนี้มันเปลี่ยนด้วยความรวดเร็ว
อยากฝากพ่อแม่และนักการศึกษาทุกคน ความรู้ที่ไม่มีคุณธรรม/ความเมตตา มันคือการทำร้ายโลกนี้ การคิดถึงคนอื่น คิดถึงโลก เป็นเรื่องจำเป็น ethics, soft skill เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับ leader ที่มีความยั่งยืน
Creative Stage:
6) How to saving the world can save the brand
- คุณAce ธนบูรณ์ CreativeMove+Greenery
- คุณกอล์ฟ รัฐวุฒิ theFlight19+little big green
- Mod: คุณเต๋า
คุณกอล์ฟ: little big green คืออะไร? เกิดจากครูลูกกอล์ฟ และคุณเชอร์รี่ ที่อยากทำเรื่องแบบนี้ การใช้ชีวิตแบบ eco, green สามารถทำได้ง่ายๆ “as green as you can” มี website, social media ครบ ทำ content ที่หล่อเลี้ยงการใช้ชีวิตแบบนี้ เป็น content ที่จับต้องได้ง่าย พอเริ่มทำก็ไปคุยกับคนที่ทำงานด้านนี้ ล่าสุดที่เรามีทำคือ กระป๋องอะลูมิเนียมใช้ให้ถูก ทิ้งให้เป็นที่
วันที่จัด ข้าวหม้อแกงหม้อ มีคนมาร่วมกับเราหลายคนมาก ด้วยความที่ project นี้เป็น 0 บาท ก็จัดที่โรงเรียนลูกกอล์ฟ คนกว่าสิบเพจที่ทำเรื่องนี้ ก็มาคุยกันว่าทำอะไร อยากทำอะไรต่อ
Yes I Can คือ project ใหม่ที่เราทำ
คุณAce: Greenery Challenge เป็นแคมเปญที่ต่อยอดออกมาจากเว็บไซค์ / การจัด market ให้คนใส่ใจสิ่งแวดล้อม รักษ์โลก และรักสุขภาพตัวเองด้วย
project นี้เริ่มจากคุณแอน อยากให้คนรุ่นใหม่มาช่วยกัน โดยเริ่มตอน Jan 2018 ทำ challenge ละ 21 วัน
#ขวดเดียวแก้วเดิม #ไม่หลอดเนาะ #คิดไม่ถุง #มาเป็นคู่ #เพื่อนกรีนหาง่าย #ร้านนี้กรีนดี #ประชุมนี้สีเขียว #ไอเดียกรีนต่อไม่รอแล้วนะ #เปลี่ยนโลกง่ายแค่เริ่มทำ
สมาชิกตอนนี้มี 43k คน เราเห็นว่าฐานนี้มีกลุ่มคนเข้ามาเพิ่มขึ้น Green Ocean มีปลาเข้ามาเต็มเลย ถ้าเราอยากจับปลาในกลุ่มนี้ ในฐานะแบรนด์จะทำยังไง?
คุณกอล์ฟ:
- Starbucks เปลี่ยนหลอดพลาสติก → กระดาษ (ยุ่ยเร็วกว่า) พอแบรนด์อยากพูดเรื่อง green สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องวางแผนก่อน และไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันที
- ที่ USA จะมี Blue bottle coffee ลด single use คือ ถ้าไม่เอาแก้วมา สามารถเช่าแก้วได้ โดยในปี 2050 เค้าตั้งเป้าว่าจะเป็นองค์กรที่ zero waste coffee shop เค้ารู้แล้วในตอนน้ี และวางโครงการล่วงหน้าอีก 30 ปี การวางแผนสำคัญมาก เพราะเราจะได้รับรู้และเข้าใจ
- การทำธุรกิจจาก green issue เช่น freitag / คุณเต๋า: กระเป๋าที่ทำจากผ้าใบรถบรรทุก(ที่ใช้แล้ว) คนที่เล่นกระเป๋าจะรู้ว่า แต่ละลาย แต่ละแบบมันไม่เหมือนกัน บางลาย ต่อให้มีเงินก็หาไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของโลกนี้
- ความภูมิใจของคนที่ใช้ บ่งบอก lifestyle
- rubber killer มันไม่ใช่แค่ world communication มันคือ local turn into world
ไม่คิดว่าวันนึงจะมี product ที่ทุกคนดื่มได้อย่าง Yes I Can เป็น project ที่ภูมิใจมาก มันให้ความรู้กับตัวเอง การทำเรื่อง green ให้ tangible และพูดต่อได้ เป็นเรื่องที่ดีมาก / เห็นทุกท่านอ่านมัน รู้สึกว่ามันมีคุณค่ามาก ผู้ร่วมอุดมการณ์อย่าง Siam discovery ที่ให้โอกาสเรา สิ่งสำคัญคือ “การลงมือทำจริง”
อะลูมิเนียม สามารถ recycle ได้ 100%, การทำ recycle ครั้งที่ 2 สามารถประหยัดพลังงานได้ 95% จากครั้งแรก ที่ไทยมีโรงงานทำสิ่งนี้ เราจะไม่ค่อยเห็นขยะนี้ตามทางเพราะมันมีมูลค่า
คุณAce:
- ขวด Sprite สีเขียว กำลังจะกลายเป็นสีขาว เพราะจะถูกนำไปรีไซเคิลได้ แต่พวกมีสีจะ recycle ไม่ได้ เค้ายอมเปลี่ยน CI เพื่อจะดูแลโลก ปริมาณลูกค้าเพิ่มมากขึ้น จากการเปลี่ยนครั้งนี้ (กำลังเข้าสู่ SEA) เค้าตั้งเป้าว่า ขวดของเขาจะ recycle ได้ 100%
- Carenation ธุรกิจใหม่เป็นพวงหรีดกระดาษ ใช้เสร็จแล้วสามารถขาย recycle ได้เลย 100% ราคาเท่าเดิม เอาเงินส่วนต่างไปมอบให้มูลนิธิ ธุรกิจผ่านมา 2–3 ปี ตอนนี้เติบโตอย่างดีงามและส่งทั่วประเทศแล้ว ตอนที่ซื้อสามารถเลือกมูลนิธิได้
- More Loop เป็นธุรกิจที่กำลังมา เอาเศษผ้าจากโรงงานอุตสาหกรรมมาทำเสื้อผ้า ลดการเกิด carbon footprint 2019 ขายผ้าไปสองหมื่นกิโล ขึ้นมาจากปีก่อน ~ 40 เท่า
- Inthanin เป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้แก้ว bio plastic — PLA ที่ทำจากพืชและย่อยสลายได้จริง (ใน 180 วัน) แต่ไม่เคยพูดเสียงดังเลย เพราะ DNA ของเขาบอกว่า เราไม่เคยพูดเสียงดัง จนกระแสมา คนก็เริ่มรู้ได้เอง แล้วก็ทำโปรเจคเรื่องงดใช้หลอด ทำฝาที่สามารถยกดื่มได้เลย แล้วก็มีทำแคมเปญ นำแก้ว 10 ใบมาลดส่วนลด 5 บาท จากนั้นเอาแก้วที่ใช้แล้วไปให้กรมป่าไม้ ใส่ต้นกล้า แล้วก็เอาไปปลูกต้นไม้ได้เลย
- Grace ภาชนะ bio ที่ทำจากชานอ้อย เมื่อก่อนที่ผลิตวันละ 200k ชิ้น ผ่านไป 7 ปี เติบโตเก้าเท่า จากที่ในไทย 5% กลายเป็น 45% ราคาไม่ได้ถูกกว่าโฟม เค้ายอมขายขาดทุนเมื่อก่อน ส่วนตอนนี้ยอดขายเกิน 9M (กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ แนะนำให้ซื้อหุ้น) เค้าทำมาประมาณ 9 ปีแล้ว
คุณกอล์ฟ:
- คนที่ทำแบรนด์ต้องการคือ conversation กับคนที่เราอยากคุยด้วย จะมี 2 แกน คือ aware awake action อีกแกนคือ ความรู้/ความรู้สึก สองสิ่งนี้มันต่างกัน
- เวลาจะทำ communication อะไรซักอย่าง ถ้าเป็นความรู้สึก ความรัก ความเจ็บปวด ทุกคนเข้าใจหมด แต่ถ้าเราพูดความรู้ในแต่ละองก์ เราจะ segment ได้แล้ว
- เรามองเห็นจุดไหน ทำอะไรได้ แต่สิ่งสำคัญคือการวางแพลน เรื่องนี้มันต้องใช้เวลา
- การเรียนรู้เรื่องกรีนคือ เราตื่นเต้นทุกวัน
คุณAce:
- มีเพจที่ให้ความรู้เรื่องกรีนมากมาย ผู้บริโภคหาข้อมูลเพิ่มขึ้นว่าอันไหนจริงหรือไม่จริง แบรนด์ไหนทำจริงหรือแค่ฉาบฉวย เราต้องทำการบ้าน เจาะข้อมูลจริง ขนาดเจ้าที่ทำแล้วยังไม่พูด คนยังรู้เองได้
- ทำแบบเข้าใจและจริงใจ
คุณกอล์ฟ:
- การเป็นแบรนด์ สิ่งที่อยากทำมากสุดคือ reach out -> conversation ตอนนี้หนึ่งใน key conversaion ของประเทศนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่อง green คือเรื่องอะไร? ต้องมี creative เข้าไป
- มองให้เห็นโอกาส ทำความเข้าใจ ทำมันไปเรื่อยๆ
คุณAce:
- จากที่มหิดลทำ research เมื่อต้นปี พบว่า ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่ง green มากขึ้น คือคนที่มีกำลังจ่ายสูงขึ้น ช่วงที่มี range จ่ายคือ 28–35, พอ 40+ ก็จะเป็นอีก step นึง ไม่ว่าจะเป็น property, electronics และจากเพศ ผู้หญิงกรีนมากกว่าผู้ชาย (ผู้หญิง 70%) คนที่มีกำลังซื้อ มีความพร้อมด้านการใช้จ่ายมีอยู่
- Freitag ไม่ได้ถูก แต่วัยรุ่น ถือกันเยอะมาก
- property เริ่มทำคอนโดที่ green มากขึ้น
คุณกอล์ฟ:
green ไม่ใช่เรื่องเทรนด์ เมื่อก่อนรุ่นแม่อาจจะเน้นชีวจิต ปัจจุบันการรักสุขภาพก็ยังมีอยู่ แค่เปลี่ยนเป็นคีโต การออกกำลังกายมีหลายแบบ อยากให้แบรนด์มองว่าเป็นโอกาส ไม่ใช่เทรนด์
พวกเราทุกคนไม่สามารถมีสุขภาพที่ดีได้ ในโลกที่กำลังจะตายลงไป
ในฐานะที่เป็นปลาใน green ocean คุณสามารถช่วย suport brand ที่ช่วยโลกนี้ได้ สุดท้ายมันจะวนกลับมาหาตัวเอง และคนที่ยังอยู่ต่อจากเรา
คุณAce:
- การที่เราจะได้ลูกค้าคือ จริงใจ จริงจัง ทำอย่างต่อเนื่อง + เข้าใจ + ร่วมใจ = ได้ใจลูกค้า
- ถ้าไม่อินกับสิ่งที่ทำ ก็ไม่มีประโยชน์
- หา partnership ที่จะเดินไปกับเรา ถ้าความรู้เราน้อยก็ไปหาคนที่มีความรู้มาช่วย
Q&A
Q1: ของที่แจกในงาน event / เมื่อก่อนก็จะเป็นของที่ใช้ได้จริง พอเราอยากทำของกรีน ลูกค้าก็จะทำถุงผ้า ทำยังไงให้เค้ามีส่วนร่วมให้งาน event มัน green มากขึ้น
A1: เมื่อก่อนการแจกถุงผ้ามันซ้ำ แต่พองดแจกพลาสติก เกมมันเปลี่ยน คนต้องการถุงผ้ายังมี / การแจกของ (เช่นที่ต้องแจกถุงผ้า) ถ้าไม่รับอาจจะมี opt. เอาไปบริจาคโรงพยาบาลไหม
A2: หา urgency ของแบรนด์ ของคนที่จะมางานให้เจอ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจเรื่องกรีน
A3: อาจจะไม่มีผลสรุปเรื่องนี้ ถ้าเราเป็นแบรนด์ เทรนด์เรื่องนี้กำลังมา ถ้าทุกคนเอาไปใช้ได้จริงและมันทำเพื่อโลก มันจะเพิ่ม value ของสิ่งนั้นได้เอง ถุงผ้าไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง อาจจะเป็น challenge ของพวกเรา สิ่งที่เราเห็นคือ opportunity
A4: (เสริม) การคุยกันเรื่อง PM2.5, มาเรียม เราคุยกันได้ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักกัน
Q2: เทรนด์ของ The next big green ในไทยคืออะไร
(แนะนำตัวเพิ่ม ด้วยความที่เป็น publisher เรากำลังทำพวงหรีดหนังสืออยู่)
A1: สองปีที่ผ่านมา awareness ชัดเจน สิ่งที่จะเข้ามาเช่น ระบบการจัดการของแต่ละหน่วยภาค รวมถึงการแยกขยะในบ้าน การที่ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เราจะมุ่งไปด้วยกัน ข้อดีคือคนไทยมีความ creative สูง
A2: product เรื่องกรีน ถ้าใครเข้ามาทำก่อน จะมาแน่ๆ การที่มีกฎมามากขึ้น ทำยังไงให้ลดได้? ใครสร้าง innovation ใหม่จะทำให้เกิดการจดจำมากขึ้น / green event เช่น การวิ่ง ถ้าทำให้งานวิ่งกรีนได้จริง (จะเสียเงินค่อนข้างเยอะในการบริหารจัดการ) ถ้าคิดสูตรได้ ทำให้นักวิ่งเป็นพันเป็นหมื่นประทับใจได้ ก็จะได้ใจแน่ๆ
A3: global brand จะพูดถึงเรื่อง sustain ‘less talk, let action’ ออกไปทำอะไรซักอย่างให้กับโลกนี้
Q3: ทำยังไงให้การแยกขยะ ครบ loop ecosystem
A1: ยังมีความไม่แน่ใจในการจัดการขยะของภาครัฐ แต่บางคนมีการแยกฝาขวด นำพลาสติกมาแยก มี system ใหม่ๆ มากมาย เพื่อให้เกิดธุรกิจตรงนี้ การขายเครื่องย่อยขยะให้กลายเป็นปุ๋ย ถ้าเราไม่เชื่อในบางสิ่ง เราสามารถ create อะไรใหม่ได้
** เป็น session แรกที่คนถามกันเยอะมาก ตัวคุณเต๋าเองก็บอกเช่นกันว่า ตั้งแต่ Mod มาตั้งแต่เช้า session นี้คือคนถามเยอะสุด
โลกเปลี่ยนเพราะลงมือทำ ไม่ได้เปลี่ยนเพราะคำพูด
Vision Stage:
7) Start with Strengths — How to utilise your hidden talent to get what you want
พี่ป้อม ศิวัตร เชาวรียวงษ์
//เป็น session ที่ห้องแตกมาก นั่งพื้น ยืนหลังห้องกันไปอีก
- ไมเคิล เฟลป์ เป็นคนที่มีช่วงลำตัวยาว ช่วงขาสั้น สูง 6 ฟุต 4 นิ้ว แต่มีความยาวลำตัวเท่ากับคนที่สูง 6 ฟุต 8 นิ้ว
- คิป โชเก้ คนที่วิ่งมาราธอนได้ภายใน 9 ชั่วโมงกว่าๆ มีต้นขา quad tricep ต่างจากคนทั่วไป และคนเคนย่าก็มีลักษณะเช่นนี้
หลายคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะเค้ามีสิ่งนี้ตั้งแต่ต้น และใช้สิ่งนี้มาพัฒนาต่อให้ดีขึ้นไปอีก
คนเรามีอวัยวะที่สำคัญมาก ก็คือ “สมอง” สมองของไอสไตน์ มีความต่างจากมนุษย์คนอื่นทั่วไป สมองแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ถูกออกแบบมาให้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน สมองพัฒนาได้ กล้ามเนื้อพัฒนาได้
แต่สมองเราพัฒนาตรงไหน?
ให้พัฒนาในส่วนที่ได้เปรียบกว่าคนอื่น
Strengths Finder พี่ป้อมศึกษาเรื่องนี้ปี 2009 แล้วก็ประยุกต์ใช้กับตัวเองเรื่อยมา ศึกษามากขึ้น ฝึกเรียนเป็น coach ของสถาบัน gallup ซึ่งเป็นเจ้าของหลักสูตรนี้
หลายครั้งเราตั้งคำถามว่า “เราขาดอะไร เราไปเติมเรื่องนั้น” ถ้าเราไม่มองสิ่งที่ขาดล่ะ ทำไมไม่มองสิ่งที่ได้เปรียบอยู่แล้ว แล้วพัฒนาให้เก่งขึ้นไปอีก — เป็นแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงการพัฒนาตัวเองไปมากพอควร
เป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วให้แนวคิดกับใครหลายๆ คนได้มาก
- Chapter1
เราต้องเข้าใจก่อนว่าคนมีความแตกต่างกัน ทั้งรูปร่าง หน้าตา รวมถึงสมอง ตามตำรากรีกพูดถึงคน 4 ประเภทที่มีความแตกต่างกันทางกายภาพ: ของเหลว ความชื้น ธาตุในตัวอย่างก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งคนแต่ละธาตุก็มีความแตกต่างกัน ถ้าเราทำงานกับใคร อยากให้คนนั้นชอบก็ต้องทำงานที่คนธาตุนั้นชอบ
Talent พรสวรรค์ คือเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามา ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเสมอไป แท้จริงคือความเป็นธรรมชาติของเราที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย มันคือสันดานดิบของเรา ทำแล้วรู้สึกสบาย มีความเป็นตัวเอง ซึ่งมันไม่ใช่ข้อดีเสมอไป บางครั้งก็นำไปสู่ความชิบหายได้
สิ่งที่กั้นกลางระหว่างสิ่งที่เป็นตัวเองกับสิ่งที่เราทำ สิ่งนั้นคือ “สติ” ไม่ให้ใช้ความเป็นตัวเองไปในทางที่เกิดผลเสีย
Investment พรแสวง เป็นสิ่งที่เราต้องพัฒนาต่อไป มันถึงจะเยี่ยมยอด
- ความรู้ ต้องเรียน
- ทักษะ ต้องลงมือทำ เพื่อให้เกิดความชำนาญ
“Talent x Investment = Strength”
skills + knowledge + combined talents = Strength สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำให้จุดร่วมตรงกลางของทั้งสามเรื่องมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เราโดดเด่นมากขึ้นไป
แล้วจุดอ่อนไม่ต้องแก้ไขเหรอ? เพราะหลายครั้งความล้มเหลวเกิดจากจุดอ่อน
Avoid weakness = away from failure
สิ่งที่บ้านเรากลัวกันมากคือ ไม่ต้องการให้ลูกล้มเหลว หลายอย่างที่ทำจึงอยู่บนพื้นฐานของการป้องกัน แต่โลกปัจจุบันมันไม่ได้เป็นแบบนั้น เราต้องผิดพลาดบ้างเพื่อจะเดินหน้าต่อไป นักกีฬาก็ทำสถิติดีขึ้นเรื่อยๆ จุดอ่อนเป็นสิ่งที่เราควรระวัง/ป้องกัน ไม่ต้องใช้เวลาเยอะ เมื่อเทียบกับพัฒนาจุดแข็ง
เชียร์ให้ทำจุดแข็งจาก 70 -> 99 ส่วนจุดอ่อนที่มาแค่ 6 อาจจะพัฒนาไปแค่ 10 เพื่อไม่ให้เป็นผลเสียกับชีวิตก็พอ
- Chapter2
Learn รู้จักตัวเอง นอกจากสิ่งนี้ ก็ยังมี 16 personalities, Anagram, social style, โหวงเฮ้ง, scan ลายนิ้วมือ แต่ละสำนักก็มีวิชาแตกต่างกันไป หลักการใหญ่คือทำให้เรารู้จักตัวเอง เราจะได้เริ่มต้นได้ ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง เราอาจจะทำตามแบบใครซักคนตาม role model ทั้งๆ ที่เขากับเราไม่เหมือนกัน อย่าทำตามแบบคนอื่น ถ้าทำตามคนอื่นแล้วสำเร็จแสดงว่ามันฟลุ๊ค บังเอิญเค้ากับเราเป็นคนประเภทเดียวกัน
Gallup แบ่งออกเป็น 34 ข้อ และแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ การปฏิบัติการ การจูงใจ การสร้างความสัมพันธ์ การคิดเชิงกลยุทธ์ ใน 34 ข้อ คนเรามีทุกข้อ ขึ้นกับว่าข้อไหน เราอยู่ลำดับไหน ถ้าได้เลข 1 คือ พรสวรรค์อันดับ 1 ของเรา เมื่อทำเสร็จ จะมีคำแนะนำว่า เราควรพัฒนายังไงให้จุดแข็งมันดีขึ้น และเฝ้าระวังจุดบอดด้วยเช่นกัน
คนที่มี harmony เหมือนกัน ไม่ได้แปลว่าหน้าตามันเหมือนกัน เพราะมันมีส่วนอื่นมาผสม น้อยมากที่จะเจอคนที่ได้ลำดับ 1–34 เหมือนกัน
สิ่งที่คนไทยมีมากสุดจากผลการทดสอบคือ ความรับผิดชอบ
มันเป็นไปได้เพราะคนไทย based ใหญ่ เราจะอยู่ในกรอบบางอย่าง โดยเฉพาะสังคมการทำงาน คนที่ทำงานแบบไหนอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ก็คือคนที่มีความรับผิดชอบ แต่ถ้ารับผิดชอบมากไป ชั้นก็ตายเอง เช่น ต่อให้ป่วยก็จะทำงานต่อไป หรือรับงานมาแล้วไม่เคยทำ บอกเวลาน้อยกว่าจริง พอถึงเวลาทำไม่เสร็จ ก็ต้องทำให้เสร็จ
ส่วนใหญ่คนสายนี้จะเป็นคนบ้างาน ส่วนใหญ่จะพังเรื่องสุขภาพ ความสัมพันธ์ แต่ถ้าเอาสุขภาพมาเป็นโจทย์ พวกนี้จะทำได้แน่นอน เพราะ commit ไว้แล้วว่าจะทำ
Communication การสื่อสารดีตรงที่คุยรู้เรื่อง สามารถพูด อธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย คนเข้าใจได้ แต่ข้อเสียคือพูดมากชิบหาย
เวลาทะเลาะกับแฟน เราต้องเคลียร์ ชั้นจะคุยกับเธอจนกว่าเราจะเข้าใจกัน แต่ถ้าเค้าไม่อยากคุยกับเรา เราก็จะยิ่งพูดไปอีก ถ้าเราไม่ระวังธรรมชาติของเรามันจะยิ่งหนัก แต่ถ้าเรามีสติ เราจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากคุยกับเราแล้ว เราก็จะหยุดได้
Empathy พี่ป้อมมีอันนี้เป็นอันดับสุดท้าย การเห็นใจผู้อื่นเป็นเรื่องดี ตำราใหม่ๆ คนเป็น leader ต้องมีตัวนี้ จะเป็นคนที่หลายคนรัก เป็นศูนย์รวมจิตใจของเพื่อนๆ พอคุยด้วยแล้วจะได้ความรู้สึกที่ดีกลับไป เพราะคนๆ นั้นตั้งใจฟัง แต่ถ้าไม่ระวังก็คือตายเองเหมือนกัน คือเก็บความทุกข์ของคนอื่นเข้ามาในตัว แล้ววันนั้นทั้งวันก็ดาร์คไป ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของคนอื่น เช่น หมอนวดไทย เราหายเมื่อย แต่หมอนวดเมื่อยเอง
Analytical ความสามารถเชิงวิเคราะห์ ถ้าไม่ดี กระทรวงศึกษาไม่เอามาใส่หรอก ในยุคใหม่ data driven ถ้าเราอ่าน data ได้ เราจะเก่ง ข้อดีคือ กระบวนการคิดดี มีเหตุผลจาก data ข้อที่ต้องระวังคือ เรื่องบางเรื่องใช้ logic ไม่ได้ บางเรื่องต้องเอาสมองวางไว้ ต้องใช้หัวใจ บางเรื่องก็เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ได้ต้องการข้อมูลมากขนาดนั้น คนพวกนี้ต้องมีข้อมูลก่อนตัดสินใจ แต่บางทีมันเป็นเรื่องเล็กๆ คนอื่นก็จะมองว่าเราลำไย
ลองทำแบบทดสอบอะไรซักอย่าง ที่ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น
- Chapter3
Love ถ้าเราไม่ชอบความเป็นตัวเอง เพราะเราเคยมีแผลอะไรบางอย่างจากความเป็นตัวเอง ให้ลองนึกถึง Best day ever วันที่ดีที่สุดของเรา ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขอแค่นึกถึงวันนั้น แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า “พรสวรรค์อะไรที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในวันนั้น” ส่วนมากมันก็คือสิ่งที่เราเป็นนั่นแหละ
เพราะเราเป็นเช่นนี้ เราถึงประสบความสำเร็จ มันเกิดเพราะเป็นตัวเรา เราจะรักตัวเองมากขึ้น
- Chapter4
Live
case1: การทำธุรกิจเครือข่าย คนที่จะทำด้านนี้คือคนที่เก่ง networking (Woo) แต่ตัวเองไม่ถนัดด้านนี้ สิ่งนึงที่สามารถมาช่วยได้คือ type: learner เรียนอะไรก็ได้ วิธีการคือ เรียนรู้ก่อนว่าเค้าเป็นใคร พูดคุยกับคนๆ นั้นในสิ่งที่เค้าเชี่ยวชาญ เวลาเค้าพูดอะไรมา ให้ถามต่อยอดสิ่งนั้น
case2: การวิ่ง พี่ป้อมวิ่ง full marathon มาแล้ว 25 ครั้ง นักวิ่งในอุดมคติคือมีระเบียบวินัย ต้องซ้อม/นอนให้ตรงเวลา แต่ที่พี่ป้อมมีคือ competition พัฒนาสุขภาพตัวเองในแบบคนเล่นกีฬาแบบแข่งขัน คือลงสมัครงานวิ่ง ตั้งเป้าทำลายสถิติของตัวเองในงานต่างๆ กำหนดตารางซ้อมเพื่อทำสถิติใหม่ (ไม่ใช่เพราะเรามีระเบียบวินัย) เวลาวิ่งในสนาม ถ้ามีคนแซง เหนื่อยแค่ไหนไม่รู้ เค้าเป็นใครไม่รู้ เราต้องแซงคืนให้ได้
case3: คนที่มีลักษณะ: ความมีระเบียบ เป็นคนละเอียด ทำอะไรสม่ำเสมอ คิดวิเคราะห์ รักใคร่กลมเกลียว ดูแล้วรู้เลยว่า “เป๊ะ” แต่งานที่เค้าทำคือ ประชาสัมพันธ์ และมีปัญหาคือ จัดแถลงข่าวแล้วนักข่าวไม่มา เพื่อนบอกว่าไม่ใช่ความผิดของเค้าเลย แต่ตัวเองเป็นทุกข์มาก เพราะคิดว่าทำดีไม่พอ ไม่เก่ง ไม่ได้เรื่อง
โจทย์ของเค้าไม่ใช่ป้องกันความล้มเหลวในงาน แต่คือการพ้นทุกข์จากการทำงาน ก็เลือกตัว analytics มา เมื่อจัดงานแล้วผิดพลาด ก็ให้วิเคราะห์ว่า เจออะไรที่มันทำให้ไม่สำเร็จ แล้วก็แก้ process ให้มันดีขึ้น ให้มันเป๊ะเวอร์ๆ ไปอีก
เค้าจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการลงมือทำ ได้ process ใหม่ จะวางมันลงได้ โดยไม่ทุกข์อีก
Health — Wealth — Love
ไม่ว่าเราต้องการอะไร เราก็สามารถใช้พรสวรรค์ที่เรามี ในแบบที่เป็นตัวเราเองได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างการจัดการของคน 4 กลุ่มคือ
Health
- Executing เอาการออกกำลังมาเป็นโจทย์แทนการทำงาน
- Influence ต้องหากีฬาที่ทำเป็นกลุ่ม ได้พูดคุย
- Relationship builder ชวนเพื่อนสนิทไปออกกำลังกาย
- Strategic thinking ไปถอยนาฬิกาจับเวลามาซะ แล้ววิเคราะห์ผลจากการออกกำลัง
Wealth
- Executing ถ้าโจทย์ผิดก็ไม่มีทางรวย
- Influence ใช้ connection ให้เป็นประโยชน์ ต้องเลือกเพื่อนให้เป็น
- Relationship builder ใช้การเชื่อมโยงคนนู้นคนนี้
- Strategic thinking ต้องหยุดทำ นั่งลง แล้วก็ประมวลสิ่งต่างๆ ด้วยข้อมูลที่มี แล้วก็เลือก
Love
ไม่เหมือนสองโจทย์ด้านบน ทำเองคนเดียวไม่ได้ ต้องรู้จักคนตรงข้ามด้วย
- ทำในแบบกับที่เค้าต้องการ ถ้ามันไม่ตรงกับแบบเราเป๊ะ ก็ต้อง adapt หาจุดที่ลงตัวให้ได้
- เปลี่ยนคน
ที่จะฝากไว้คือ:
- ผลของ 34 ข้อ เป็นกลาง ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย ไม่ต้องอยากได้ของคนอื่น
- สิ่งนี้ไม่ใช่ label อย่าเอาสิ่งนี้ไปตัดสินคน/ตัดสินตัวเอง พรสวรรค์เป็นแค่ธรรมชาติ การแสดงออกของคนๆ นึงต้องผ่านการมีสติมาแล้ว
- มองทุกอย่างด้วยมุมมองที่เป็นบวกเสมอ
- ความแตกต่างกันล้วนเป็นข้อได้เปรียบ ทำได้หลายโจทย์ พอเราเข้าใจกันก็จะไม่ตีกันเองในกลุ่ม
- เราต้องการใครซักคนเสมอ มาเติมเต็มเรา คนที่ต่างจากเรา และทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
สรุปว่าวันนี้เก็บไปได้ทั้งหมด 7 sessions เราประทับใจหัวข้อช่วงบ่ายมาก โดยเฉพาะหัวข้อที่ 5–7 รู้สึกว่าตัวเองเลือกได้ดี อินมาก ดีมากจริงๆ
- การศึกษา เรื่องที่ครูพูดทำให้เราฉุกคิดแทบจะประโยคเว้นประโยค จุกบ้าง สะอึกบ้าง มีเรื่องให้คิดอีกเยอะมาก
- เรื่อง Green ก็เป็นสิ่งที่เรากำลังอินตอนนี้ เราเองก็เพิ่งขอเข้าไปอยู่ในกลุ่ม Greenery Challenge เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ได้เห็นทุกคนพยายามพกอุปกรณ์กันเป็นบ้าหอบฟางกันจริงจังมากๆ จนตัวเองเริ่มรู้สึกผิด อีกทั้งสิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งใน New Year Resolutions ของเราที่จะลดใช้ plastic single use
- จบท้ายด้วยพี่ป้อม คือเห็นเรื่องนี้มานานมาก ได้ยินมานานมาก พี่ป้อมเปิดสอนมาหลายรอบ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเรียนซักที หลังจบ sessions ยังถามพี่ป้อมเลยว่าจะเปิดอีกไหม ถ้าไม่ติดอะไรจะไปลงเรียนแน่นอน ถึงแม้เราจะพอรู้ว่าตัวเองเป็น Type อะไรบ้างแล้วก็ตาม
อีกอย่างหนึ่งที่พบว่าทำเป็นปีแรกแล้วดีคือ การมีเวลา 10 นาทีให้เดินเปลี่ยนห้อง (หรืออาจจะน้อยกว่านั้น เพราะ speaker ติดลมนิดหน่อย) รวมถึงการเปิดเพลงไล่เมื่อหมดเวลา ขอให้ทำต่อไปค่ะ!
ก่อนกลับบ้านวันนี้ ปิดท้ายด้วยภาพหมู่ #YwcEverywhere
และมีรอบสองอีก (อันนี้เรากลับแล้ว)
และขอบคุณภาพ selfie เดียวในงานจากพี่ Natthanan Chansuriyawong ด้วยค่ะ