[บันทึกการเรียนรู้] ร่วมสร้างสังคมแห่งความเข้าใจไปกับ Deep Listening Workshop II
ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดที่เข้าร่วมกิจกรรมอะไรแบบนี้เหมือนกัน เห็นกิจกรรมนี้ได้จากการที่เก้ากด Interested Event ไว้ใน Facebook แล้วมันก็ขึ้นมาใน Feed เข้าไปอ่านรายละเอียดแล้วก็พบว่าน่าสนใจดี ก็เลยลองสมัครไปดู แล้วทางผู้จัดงานก็ส่งอีเมลมายืนยันวันเสาร์ที่ 16 พ.ย. แล้วก็โทรมาด้วยอีก โดยให้โอนเงินภายในวันที่ 17 พ.ย. เวลา 22.00 น. ตอนแรกก็นึกว่าไม่ผ่านการคัดเลือกแล้ว จะลงตารางอย่างอื่นแล้วเชียว ตอนส่งเมลยืนยันก็ยัง 50/50 แต่พอโทรมา ก็เลยตัดสินใจมาก็ได้
พอมาถึงสถานที่จัดงาน ทางผู้จัด (และผู้พูด) ก็ให้เขียนชื่อเล่น และเลือกฤดูที่กำลังเผชิญอยู่ในกระดาษกาวเพื่อแปะเสื้อตัวเอง เขียนด้วยปากกาสีที่ตัวเองชอบที่สุด พร้อมแจกคูปองเครื่องดื่ม มูลค่า 100 บาท ก็เลยเขียนไปว่า “พริ้ว ฤดูงานถล่ม” ค่ะ
พอทุกคนมากันเกือบครบ (ขาดอยู่คนสองคน) ก็เริ่มด้วยการให้เขียน เรื่องที่กังวลใจของตัวเองลงไปใน post-it แล้วก็แปะลงบนโต๊ะ คือให้ทิ้งความกังวลใจไปก่อน แล้วมาเปิดใจรับรู้สิ่งใหม่กัน พร้อมทั้งแนะนำ (ขาย) เพจ Understand ให้ได้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งพวกนี้ (กด Follow ไว้เรียบร้อย)
เข้าสู่ Check-In คือให้ทุกคนแนะนำตัว ชื่อเล่น และฤดูที่เขียนรอบวง จากนั้นก็ set Groud rules อันได้แก่
- งดใช้โทรศัพท์มือถือ (ปิดเสียง)
- เคารพความคิดเห็น ความคิดต่าง
- เก็บความลับ
- ไม่ตัดสิน เปิดใจ
แล้วก็แจกกระดาษ A4 ให้พับเป็น 4 ส่วน วาดรูปคนที่อยู่ในห้องนี้ตามโจทย์ โดยมีเวลาจำกัด (ความวาดรูปกากของตัวเองนี้ทำเอาปวดใจ)
- คนที่เป็นมิตร
- คนที่รักสัตว์
- คนที่ดูปรึกษาได้
- คนที่ตาสวย
พอวาดเสร็จ ก็ให้เดินไปหาคนที่เราวาด แล้วก็ทำความรู้จักกันเล็กน้อยตามโจทย์ข้อ 1.-3.
จากนั้นก็ให้พลิกกระดาษ A4 กลับหลัง แล้วเขียนว่า ME เป็นยังไง โดยมีเวลาจำกัดเช่นเคย พร้อมถึงให้เขียน Past to Present ว่ามีเรื่องดี เรื่องร้ายเกิดขึ้นอะไรกับเราบ้าง อย่างละ 3 หัวข้อ ที่ทำให้เราเป็นเราในตอนนี้ เมื่อเขียนเสร็จก็ให้ตัวแทนลองเล่าว่า ME เป็นยังไง จากนั้นให้คนอื่นลองทายว่าเค้าเจอเหตุการณ์อะไรมาในชีวิตบ้าง ได้ฟังและเดาไป 3 เคสด้วยกัน เดาถูกบ้างผิดบ้างตามระเบียบ
อีก workshop เป็นการจับกลุ่ม 3 คน โดยกลุ่มเรามีเรา น้องน้ำผึ้ง และน้องต่อ ให้เลือกการเป็น A B C แล้วทำแบบฝึกหัดตามโจทย์ โจทย์ละ 5 นาที คือ
- A พูดให้ B, C สังเกต เรื่องเล่าทั่วไป
A และ C ชอบอะไรใน B ที่เป็นผู้ฟัง - B พูดให้ C โดยห้ามขัด ห้ามพูด
เกี่ยวกับเรื่องความฝัน อนาคต
จากนั้นให้ C สรุปประเด็นภายใน 1 นาที - C พูดให้ A โดยถามได้ 2 คำถาม
เรื่องจุดพลิกผันของชีวิต
จากนั้นให้ A บอกว่า C มีความรู้สึก ความคิด ความคาดหวังอะไร
และ workshop สุดท้ายคือการจับคู่สองคน จับมือแล้วคุยกัน 5 นาที ด้วยเทคนิคอะไรก็ได้ ทำให้เราได้รู้จักกับพี่โบว์ ผู้ซึ่งทำงานคล้ายกับ Customer Service ของรถไฟฟ้า รับปัญหาตั้งแต่เล็กน้อยไปจนเรื่องใหญ่อย่างการเวนคืนบ้านเพื่อเอาไปทำที่ในโครงการรถไฟฟ้า ภาครัฐที่ไม่เอื้อประชาชน เป็นเรื่องที่ต้องใช้ Empathy อย่างมาก และความรู้สึกเราคือพี่เค้าต้องเครียดแน่เลยที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ แต่พี่เค้าก็ดูเหมือนจะมีวิธีการจัดการที่ดีมากๆ
สิ่งที่ได้เรียนรู้
- คนเรามีการตัดสินกันทุกวินาที โดยมักตัดสินจากสิ่งที่เราเห็น ภาพที่เราเห็นโดยอาศัย mindset, experience ของตัวเอง
- ลดเสียงในหัว ฟังคนอื่นให้มากขึ้น
- ความสวย ก็เป็นความสวยที่เราตัดสิน
- เราตัดสินคน ด้วย Reference ที่เรามีอยู่ในตัว เป็นความ Bias โดยไม่ได้ตั้งใจ
- การตัดสินที่มาที่ไป เราต้องมีสติ สิ่งที่เราเลือกให้เค้าเป็น เค้าอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น
- การฟังแบบไม่ขัด ทำให้เราได้ข้อมูลครบ ลึก และยังสัมผัสได้ถึง emotion ของผู้พูด มันอาจจะขัดกับพฤติกรรมคนปกติแต่มันสามารถฝึกได้ เราอาจจะอยากได้ข้อมูลเพิ่มระหว่างการฟัง แต่เมื่อฟังจบเราอาจพบว่าข้อมูลมันก็ครบอยู่ โดยที่ไม่ต้องถามคำถามพร่ำเพรื่อ
- การมีโจทย์ตั้งมาให้เราถามได้แค่สองคำถาม ทำให้เราตั้งใจฟัง เก็บรายละเอียด กดดันในตอนแรกว่าจะถามอะไรดี แต่พออีกฝ่ายเล่าจบ เรากลับไม่รู้ว่าจะถามอะไร
- ฟังให้จบ แล้วค่อยถาม
- สังเกต reaction ของผู้พูด สัมผัสได้ถึง emotion ของเรื่องเล่าได้
- เปิดพื้นที่ให้อีกฝ่ายก่อน เค้าทำแบบนี้เพราะอะไร อย่าไปบอกว่าต้องทำแบบนี้สิ
- อย่าเอาตัวเราไปตัดสิน ไม่พก “ตัวเรา” ไปด้วย ถ้าเค้าไม่ถามก็ไม่ต้องไปเสนอความเห็น
- ความหวังดี มักตามมาด้วย คำแนะนำ ซึ่งจริงๆ เค้าอาจจะไม่อยากได้ คนเราส่วนมากมักมีวิธีแก้ปัญหาในใจอยู่แล้ว เค้าแค่อยากระบายเฉยๆ
- การฟังที่นานพอ จะช่วยยืดเวลาการตัดสินออกไป
- การสัมผัส หรือ Body Language อื่นๆ ก็ถือเป็นการสร้างสัมพันธ์ในการฟังเช่นกัน
2 สิ่งหลักที่ได้จาก workshop
- รู้เท่าทันตัวเอง ว่าเรามีการตัดสินในใจ มีการใช้ Reference และความรู้สึกอยากแนะนำ
- ฝึกรูปแบบการฟังในหลายรูปแบบ
แล้ว Deep Listening คืออะไร จากการที่มาทำ Workshop นี้?
- ฟังแบบฟังจริงๆ
- ฟังแล้วมันนำไปสู่อะไร จากข้อมูลมากมายที่เราได้รับทุกวินาที
- การให้ความสำคัญกับคนตรงหน้า
- การ Listen with
- Grounding ความไม่รู้อะไรเลย ทำให้เรารู้จักคนอื่นได้ง่ายขึ้น
- หากสนใจสามารถศึกษาต่อเรื่อง ทฤษฎีตัวยู (Theory U) หรือการฟัง 4 ระดับ โดยอ็อตโต ชาเมอร์
- Boundary คือเราต้องมีกรอบของเราเองว่าเราทำได้แค่ไหน ถ้าจิตใจเราไม่พร้อมก็อย่าฝืน
- Don’t ให้คำแนะนำ (ถ้าเค้าไม่ได้ขอ) หรือถามเพราะอยากรู้เพิ่ม (อาจกลายเป็นคำถามพร่ำเพรื่อ)
- Do: ถามเพื่อยืนยันสิ่งที่เค้าเป็น
ความเศร้าไม่ใช่ ภาวะ(โรค)ซึมเศร้า ต้นกำเนิดของภาวะซึมเศร้าแบ่งได้ 3 อย่างคือ
- Bio สารในสมอง
- Cyclo สภาพจิตใจ
- Social สังคมแวดล้อม
มันเป็นการเศร้าที่ควบคุมไม่ได้ เรื้อรังจนไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ การให้ยาต้านเศร้า สามารถใช้ได้กับหลายกลุ่มอาการ เช่น การปรับตัวไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคนที่กินยานี้คือคนบ้า คนที่เป็นสภาวะซึมเศร้าจะมีอาการ Loss of function สูญเสียการทำงาน ทำให้เพื่อนร่วมงานทำงานหนักขึ้น แต่เพื่อนร่วมงานเข้าใจแค่ไหนว่ามันเป็นโรคจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง (ถ้าเป็นมะเร็ง เพื่อนกลับเห็นใจมากกว่า)
การมา Workshop ครั้งนี้ครั้งเดียวคงไม่สามารถทำให้เรากลายเป็นคนที่รักษาหรือเยียวยาชีวิตคนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้ แต่มันจะช่วยเตือนให้เรา หยุดปาก หยุดเสียงในหัวที่ชอบให้คำแนะนำได้ และทำให้เราจดจ่อ ตั้งใจกับสิ่งที่คนอื่นพูดมากขึ้นกว่าเดิม
แต่เราก็ยังแอบมีคำถามในใจเหมือนกันอยู่ดีว่า การที่เราเปิดใจกับคนแปลกหน้าได้มาก เพราะเราไม่รู้จักกันมาก่อนเลย แต่ถ้ากับเพื่อน กับคนรู้จัก เราจะสามารถทำแบบนี้ได้หรือไม่ ยิ่งคนที่สนิทรู้เช่นเห็นชาติกันมันต้องยากแน่ๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนกันต่อไป