[บันทึกการเรียนรู้] ร่วมสร้างสังคมแห่งความเข้าใจไปกับ Deep Listening Workshop II

Parima Spd
2 min readNov 20, 2019

ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดที่เข้าร่วมกิจกรรมอะไรแบบนี้เหมือนกัน เห็นกิจกรรมนี้ได้จากการที่เก้ากด Interested Event ไว้ใน Facebook แล้วมันก็ขึ้นมาใน Feed เข้าไปอ่านรายละเอียดแล้วก็พบว่าน่าสนใจดี ก็เลยลองสมัครไปดู แล้วทางผู้จัดงานก็ส่งอีเมลมายืนยันวันเสาร์ที่ 16 พ.ย. แล้วก็โทรมาด้วยอีก โดยให้โอนเงินภายในวันที่ 17 พ.ย. เวลา 22.00 น. ตอนแรกก็นึกว่าไม่ผ่านการคัดเลือกแล้ว จะลงตารางอย่างอื่นแล้วเชียว ตอนส่งเมลยืนยันก็ยัง 50/50 แต่พอโทรมา ก็เลยตัดสินใจมาก็ได้

พอมาถึงสถานที่จัดงาน ทางผู้จัด (และผู้พูด) ก็ให้เขียนชื่อเล่น และเลือกฤดูที่กำลังเผชิญอยู่ในกระดาษกาวเพื่อแปะเสื้อตัวเอง เขียนด้วยปากกาสีที่ตัวเองชอบที่สุด พร้อมแจกคูปองเครื่องดื่ม มูลค่า 100 บาท ก็เลยเขียนไปว่า “พริ้ว ฤดูงานถล่ม” ค่ะ

พอทุกคนมากันเกือบครบ (ขาดอยู่คนสองคน) ก็เริ่มด้วยการให้เขียน เรื่องที่กังวลใจของตัวเองลงไปใน post-it แล้วก็แปะลงบนโต๊ะ คือให้ทิ้งความกังวลใจไปก่อน แล้วมาเปิดใจรับรู้สิ่งใหม่กัน พร้อมทั้งแนะนำ (ขาย) เพจ Understand ให้ได้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งพวกนี้ (กด Follow ไว้เรียบร้อย)

เข้าสู่ Check-In คือให้ทุกคนแนะนำตัว ชื่อเล่น และฤดูที่เขียนรอบวง จากนั้นก็ set Groud rules อันได้แก่

  • งดใช้โทรศัพท์มือถือ (ปิดเสียง)
  • เคารพความคิดเห็น ความคิดต่าง
  • เก็บความลับ
  • ไม่ตัดสิน เปิดใจ

แล้วก็แจกกระดาษ A4 ให้พับเป็น 4 ส่วน วาดรูปคนที่อยู่ในห้องนี้ตามโจทย์ โดยมีเวลาจำกัด (ความวาดรูปกากของตัวเองนี้ทำเอาปวดใจ)

  1. คนที่เป็นมิตร
  2. คนที่รักสัตว์
  3. คนที่ดูปรึกษาได้
  4. คนที่ตาสวย

พอวาดเสร็จ ก็ให้เดินไปหาคนที่เราวาด แล้วก็ทำความรู้จักกันเล็กน้อยตามโจทย์ข้อ 1.-3.

จากนั้นก็ให้พลิกกระดาษ A4 กลับหลัง แล้วเขียนว่า ME เป็นยังไง โดยมีเวลาจำกัดเช่นเคย พร้อมถึงให้เขียน Past to Present ว่ามีเรื่องดี เรื่องร้ายเกิดขึ้นอะไรกับเราบ้าง อย่างละ 3 หัวข้อ ที่ทำให้เราเป็นเราในตอนนี้ เมื่อเขียนเสร็จก็ให้ตัวแทนลองเล่าว่า ME เป็นยังไง จากนั้นให้คนอื่นลองทายว่าเค้าเจอเหตุการณ์อะไรมาในชีวิตบ้าง ได้ฟังและเดาไป 3 เคสด้วยกัน เดาถูกบ้างผิดบ้างตามระเบียบ

อีก workshop เป็นการจับกลุ่ม 3 คน โดยกลุ่มเรามีเรา น้องน้ำผึ้ง และน้องต่อ ให้เลือกการเป็น A B C แล้วทำแบบฝึกหัดตามโจทย์ โจทย์ละ 5 นาที คือ

  1. A พูดให้ B, C สังเกต เรื่องเล่าทั่วไป
    A และ C ชอบอะไรใน B ที่เป็นผู้ฟัง
  2. B พูดให้ C โดยห้ามขัด ห้ามพูด
    เกี่ยวกับเรื่องความฝัน อนาคต
    จากนั้นให้ C สรุปประเด็นภายใน 1 นาที
  3. C พูดให้ A โดยถามได้ 2 คำถาม
    เรื่องจุดพลิกผันของชีวิต
    จากนั้นให้ A บอกว่า C มีความรู้สึก ความคิด ความคาดหวังอะไร

และ workshop สุดท้ายคือการจับคู่สองคน จับมือแล้วคุยกัน 5 นาที ด้วยเทคนิคอะไรก็ได้ ทำให้เราได้รู้จักกับพี่โบว์ ผู้ซึ่งทำงานคล้ายกับ Customer Service ของรถไฟฟ้า รับปัญหาตั้งแต่เล็กน้อยไปจนเรื่องใหญ่อย่างการเวนคืนบ้านเพื่อเอาไปทำที่ในโครงการรถไฟฟ้า ภาครัฐที่ไม่เอื้อประชาชน เป็นเรื่องที่ต้องใช้ Empathy อย่างมาก และความรู้สึกเราคือพี่เค้าต้องเครียดแน่เลยที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ แต่พี่เค้าก็ดูเหมือนจะมีวิธีการจัดการที่ดีมากๆ

สิ่งที่ได้เรียนรู้

  • คนเรามีการตัดสินกันทุกวินาที โดยมักตัดสินจากสิ่งที่เราเห็น ภาพที่เราเห็นโดยอาศัย mindset, experience ของตัวเอง
  • ลดเสียงในหัว ฟังคนอื่นให้มากขึ้น
  • ความสวย ก็เป็นความสวยที่เราตัดสิน
  • เราตัดสินคน ด้วย Reference ที่เรามีอยู่ในตัว เป็นความ Bias โดยไม่ได้ตั้งใจ
  • การตัดสินที่มาที่ไป เราต้องมีสติ สิ่งที่เราเลือกให้เค้าเป็น เค้าอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น
  • การฟังแบบไม่ขัด ทำให้เราได้ข้อมูลครบ ลึก และยังสัมผัสได้ถึง emotion ของผู้พูด มันอาจจะขัดกับพฤติกรรมคนปกติแต่มันสามารถฝึกได้ เราอาจจะอยากได้ข้อมูลเพิ่มระหว่างการฟัง แต่เมื่อฟังจบเราอาจพบว่าข้อมูลมันก็ครบอยู่ โดยที่ไม่ต้องถามคำถามพร่ำเพรื่อ
  • การมีโจทย์ตั้งมาให้เราถามได้แค่สองคำถาม ทำให้เราตั้งใจฟัง เก็บรายละเอียด กดดันในตอนแรกว่าจะถามอะไรดี แต่พออีกฝ่ายเล่าจบ เรากลับไม่รู้ว่าจะถามอะไร
  • ฟังให้จบ แล้วค่อยถาม
  • สังเกต reaction ของผู้พูด สัมผัสได้ถึง emotion ของเรื่องเล่าได้
  • เปิดพื้นที่ให้อีกฝ่ายก่อน เค้าทำแบบนี้เพราะอะไร อย่าไปบอกว่าต้องทำแบบนี้สิ
  • อย่าเอาตัวเราไปตัดสิน ไม่พก “ตัวเรา” ไปด้วย ถ้าเค้าไม่ถามก็ไม่ต้องไปเสนอความเห็น
  • ความหวังดี มักตามมาด้วย คำแนะนำ ซึ่งจริงๆ เค้าอาจจะไม่อยากได้ คนเราส่วนมากมักมีวิธีแก้ปัญหาในใจอยู่แล้ว เค้าแค่อยากระบายเฉยๆ
  • การฟังที่นานพอ จะช่วยยืดเวลาการตัดสินออกไป
  • การสัมผัส หรือ Body Language อื่นๆ ก็ถือเป็นการสร้างสัมพันธ์ในการฟังเช่นกัน

2 สิ่งหลักที่ได้จาก workshop

  • รู้เท่าทันตัวเอง ว่าเรามีการตัดสินในใจ มีการใช้ Reference และความรู้สึกอยากแนะนำ
  • ฝึกรูปแบบการฟังในหลายรูปแบบ

แล้ว Deep Listening คืออะไร จากการที่มาทำ Workshop นี้?

  • ฟังแบบฟังจริงๆ
  • ฟังแล้วมันนำไปสู่อะไร จากข้อมูลมากมายที่เราได้รับทุกวินาที
  • การให้ความสำคัญกับคนตรงหน้า
  • การ Listen with
  • Grounding ความไม่รู้อะไรเลย ทำให้เรารู้จักคนอื่นได้ง่ายขึ้น
  • หากสนใจสามารถศึกษาต่อเรื่อง ทฤษฎีตัวยู (Theory U) หรือการฟัง 4 ระดับ โดยอ็อตโต ชาเมอร์
  • Boundary คือเราต้องมีกรอบของเราเองว่าเราทำได้แค่ไหน ถ้าจิตใจเราไม่พร้อมก็อย่าฝืน
  • Don’t ให้คำแนะนำ (ถ้าเค้าไม่ได้ขอ) หรือถามเพราะอยากรู้เพิ่ม (อาจกลายเป็นคำถามพร่ำเพรื่อ)
  • Do: ถามเพื่อยืนยันสิ่งที่เค้าเป็น

ความเศร้าไม่ใช่ ภาวะ(โรค)ซึมเศร้า ต้นกำเนิดของภาวะซึมเศร้าแบ่งได้ 3 อย่างคือ

  1. Bio สารในสมอง
  2. Cyclo สภาพจิตใจ
  3. Social สังคมแวดล้อม

มันเป็นการเศร้าที่ควบคุมไม่ได้ เรื้อรังจนไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ การให้ยาต้านเศร้า สามารถใช้ได้กับหลายกลุ่มอาการ เช่น การปรับตัวไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคนที่กินยานี้คือคนบ้า คนที่เป็นสภาวะซึมเศร้าจะมีอาการ Loss of function สูญเสียการทำงาน ทำให้เพื่อนร่วมงานทำงานหนักขึ้น แต่เพื่อนร่วมงานเข้าใจแค่ไหนว่ามันเป็นโรคจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง (ถ้าเป็นมะเร็ง เพื่อนกลับเห็นใจมากกว่า)

การมา Workshop ครั้งนี้ครั้งเดียวคงไม่สามารถทำให้เรากลายเป็นคนที่รักษาหรือเยียวยาชีวิตคนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้ แต่มันจะช่วยเตือนให้เรา หยุดปาก หยุดเสียงในหัวที่ชอบให้คำแนะนำได้ และทำให้เราจดจ่อ ตั้งใจกับสิ่งที่คนอื่นพูดมากขึ้นกว่าเดิม

แต่เราก็ยังแอบมีคำถามในใจเหมือนกันอยู่ดีว่า การที่เราเปิดใจกับคนแปลกหน้าได้มาก เพราะเราไม่รู้จักกันมาก่อนเลย แต่ถ้ากับเพื่อน กับคนรู้จัก เราจะสามารถทำแบบนี้ได้หรือไม่ ยิ่งคนที่สนิทรู้เช่นเห็นชาติกันมันต้องยากแน่ๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนกันต่อไป

--

--

Parima Spd
Parima Spd

Written by Parima Spd

I enjoy reading and writing. Continue to learn and try new things to improve. Before you die, explore this world.

No responses yet