บันทึกไม่ลับ จากนักเรียน โรงเรียนนักเดินป่า อุทยานแห่งชาติภูเวียง รุ่นที่ 1

Parima Spd
7 min readSep 7, 2024

--

ที่มาที่ไป

พี่ขวัญ มาชวนไปโรงเรียนนี้กัน เมื่อช่วงประมาณต้นปี แล้วเราก็เห็น ประกาศรับรุ่นแรกของอุทยานแห่งชาติน้ำพอง แต่ว่าช่วงวันร่วมกิจกรรมตรงนั้นไม่สะดวก ผ่านมาได้ประมาณหนึ่งเดือน ก็มีประกาศเปิดรับใหม่ ครั้งนี้เปิดรับสองที่พร้อมกัน

กิจกรรมโรงเรียนนักเดินป่า ระดับต้น เส้นทางเดินป่า “ผาสวรรค์” อุทยานแห่งชาติน้ำพอง — รุ่นที่ 2

  • ระยะทางเดินประมาณ 9.2 กิโลเมตร ระยะเวลา 3 วัน 2 คืน
  • รับสมัครนักเดินป่า รุ่นละ 20 คน เท่านั้น

กิจกรรมโรงเรียนนักเดินป่า ระดับต้น เส้นทางเดินป่า “ผาแจ้ง” อุทยานแห่งชาติภูเวียง — รุ่นที่ 1

  • ระยะทางเดินประมาณ 6 กิโลเมตร ระยะเวลา 2 วัน 1 คืน
  • รับสมัครนักเดินป่า รุ่นละ 20 คน เท่านั้น

แถมวันจัดกิจกรรม ก็ยังเป็นช่วงวันที่เดียวกันอีก ชีวิตต้องเลือก หลังจากคิดวิเคราะห์ไม่นาน ก็เลือก ภูเวียง เพราะอยากเป็นรุ่นที่ 1 (เหตุผลแบบนี้ก็ได้เหรอ)

ก่อนจะสมัครโรงเรียนนักเดินป่าได้ จำเป็นต้องผ่าน Quest ดังนี้ก่อน

ต้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็ปไซต์ และทำข้อสอบให้ผ่าน ที่ https://nationalparkoutdoor-edu.com จากนั้นก็ดาวน์โหลดใบรับรอง (Certificate) เพื่อใช้สมัครเรียนในโรงเรียนนักเดินป่า (เอาไว้แนบใน Google Form เวลาสมัคร) โดยจะมีใบ certificate จำนวน 3 ใบ ได้แก่

1. Certificate ของเส้นทางเดินป่านั้นๆ

2. Certificate ข้อควรปฏิบัติในการเดินป่า

3. Certificate การเตรียมตัวไปเดินป่า

พอเรียนเสร็จอะไรเสร็จ พร้อมแล้วก็เหลือเวลาวัดดวงความเร็วนิ้วมือ และความเร็วของเน็ตในวันที่เปิดรับสมัคร แย่งกันยิ่งกว่ากดบัตรคอนเสิร์ต ต้องขอบคุณโปรแกรมเมอร์เทพวินท่านหนึ่งที่กรอก Google Form มาได้ภายในสองนาที

ใช่ค่ะ นี่ขนาดสองนาที ยังจะตกการเป็นตัวจริงแล้ว! (สำรองอีก 10 คน)

หลังจากเปิดรับสมัคร วันที่ 13 สิงหาคม 2567 เวลา 10:00 น. ก็ประกาศชื่อภายในบ่ายๆ วันนั้นเลย ทีมงานทำงานด้วยความเร็วแสงสุด ก็ทักไปยืนยันตัวตนที่ Facebook Page ของทางโรงเรียน จากนั้นก็จะลากเข้ากลุ่มไลน์ เพื่อใช้ติดต่อพูดคุยกัน

ในกลุ่มไลน์จะมี ครูผู้ช่วย (ที่ก็เพิ่งรู้จัก เพิ่งเห็นตัวเป็นๆ วันกิจกรรม) เจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติภูเวียง (ที่ก็เพิ่งรู้จัก เพิ่งเห็นตัวเป็นๆ วันกิจกรรมเช่นกัน) ก็ถึงว่า ทำไมบางคนดูคุยกันในไลน์สุดสนิท เหมือนรู้จักกันมาแล้ว คนใหม่อย่างเราก็ทำตัวไม่ถูก >..<

เนื่องจากเส้นทางนี้ ไม่มีลูกหาบ ไม่มีที่อาบน้ำ ต้องแบกของเอง เพราะฉะนั้นก็เอาไปให้เบาสุด และทำให้เราได้เรียนรู้ว่า เดี๋ยวนี้มันมีอาหารที่ Ready to Eat เยอะมาก และรสชาติอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ไม่ได้อุ่นร้อน ว้าวสุด แต่ข้าวควรอุ่น เพราะไม่อุ่นแล้วนึกว่ากินข้าวกรอบ แข็งจัดๆ

ตอนแรกเค้าบอกมีแหล่งน้ำ เดินไปประมาณสามร้อยเมตร ก็คิดว่าจะเอาที่กรองไป แต่ก่อนเดินทางไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่ (จนท.) ก็บอก แหล่งน้ำแห้งและแถมเป็นแอ่งแบบจิ๋วๆ ให้พกน้ำไปเองเท่าที่จะพอใช้

แต่สุดท้ายตรงจุดกางเต็นท์ก็มีน้ำจำนวนมาก เพราะ จนท. เอาถังมารองน้ำฝนไว้ และด้วยความฝนตกหนัก ตกคืนวันที่นอนอยู่เต้นท์นั่นแหละ นึกว่าน้ำจะท่วม เช้ามาก็เลยน้ำล้นๆ กว่าเดิมไปเลยจ้า เลยเอามาใช้ล้างอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนเก็บแทน

30 สิงหาคม 2567 วันเดินทางจาก กทม. ไป ขอนแก่น ไป ภูเวียง

เนื่องจากเป็นชาว กทม. ที่หวงแหนเวลาเดินทาง (ไม่ชอบนั่งรถนานๆ แค่นั้นแหละ) ก็เลยเดินทางด้วยเครื่องบินวันศุกร์ แล้วเช่ารถ ขับจากสนามบินไป อ.ภูเวียง ประมาณ​หนึ่งชั่วโมงนิดๆ ไปหาที่พักนอนแถวนั้น ซึ่งที่พักห่างจากลานกางเต็นท์ตาดฟ้าประมาณ 25 นาที

จริงๆ ตอนแรกว่าจะไปนอนที่ลานกางเต็นท์เลย แต่พอทักไปถามที่เพจของอุทยานฯ เค้าบอกว่าไม่มีอาหารขาย เลยคิดว่าอยู่ข้างนอกก่อนดีกว่า เป็นคนห่วงกิน ไม่ชอบประกอบอาหารเอง และไม่มีอุปกรณ์ใดๆ -_-”

ตัดภาพมาวันเสาร์ ที่ 31 สิงหาคม 2567 เลยแล้วกัน

ออกจากที่พักเช้าตรู่ ตุนเสบียงสำหรับเข้าป่าหนึ่งคืน แถวๆ 7-Eleven สุดท้าย เจอร้านข้างทางที่ขายไก่ย่างและปลาย่าง ก็เลยได้ปลาย่างกับข้าวสวยเซเว่นเป็นมื้อเช้า ตั้งใจเก็บไก่ย่างไว้กินกลางวัน (แต่จริงๆ กลายเป็นม้ือเย็น ซึ่งก็ยังอร่อยอยู่) จากนั้นก็ซิ่งรถเข้าไปนั่งกินมื้อเช้าที่ลานกางเต็นท์ ก่อนจะไปลงทะเบียน และเริ่มกิจกรรม

หมายเหตุ: หลังจากผ่านด่านจุดจ่ายเงินเข้ามาแล้ว ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตซักค่ายเลย เพราะงั้นเตรียมเงินสดมาด้วย

ลงทะเบียน ณ ลานกางเต็นท์ตาดฟ้า (สำนักงาน)

ลงทะเบียนท่ามกลางฝนฉ่ำ รับไอเท็ม แก้ว (ลิมิเต็ดที่สั่งซื้อไว้ทางไลน์) และรับบรีฟ

ฝนตกชุ่มฉ่ำแต่เช้า จากนั้น พี่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ และครูผู้ช่วยก็มาแนะนำตัวแบบเบาๆ (นี่แหละ ถึงได้รู้ว่า ทำไมหลายคนถึงดูสนิทกันในไลน์) จากนั้นก็แนะนำโรงเรียนนักเดินป่า และทบทวนบทเรียน ที่จำไม่ค่อยได้ แม้จะสอบผ่านมาแล้ว ต้องเปิดโพย ซึ่งเค้าพิมพ์เป็นกระดาษไซส์เล็กๆ มาให้ ห่อถุงซิปล็อคกันเปียกด้วย

  • ข้อมูลเส้นทาง ระเบียบการใช้พื้นที่
  • ข้อควรปฏิบัติในการเดินป่า
  • อุปกรณ์และการจัดสัมภาระใส่เป้ (ป้ายยาข้าวของกันตรงนี้) น้ำหนักที่แบกได้ ไม่ควรเกิน 10% ของน้ำหนักตัว ไม่งั้นจะบาดเจ็บได้
ชอบการกางอุปกรณ์มาบอกเล่าและสอนจัดเป้ ถ้าได้เรียนสิ่งนี้ตั้งแต่ป่าแรก จะเป็นอะไรที่ดีมากๆ

หลักการไม่ทิ้งร่องรอย 7 ประการ (The Leave No Trace Seven Principles)

เป็นแนวคิดสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในขณะทำกิจกรรมกลางแจ้ง

1. วางแผนล่วงหน้าและเตรียมความพร้อม PLAN AHEAD AND PREPARE

  • เพื่อหลีกเลี่ยง หรือลดความเสี่ยงในการเผชิญกับปัญหา ควรศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง
  • ศึกษากฎระเบียบ ข้อบังคับของสถานที่ ที่ไปเยือน
  • เตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่เลวร้าย อันตราย และเหตุฉุกเฉิน

2. เดินทางและตั้งแคมป์บนพื้นที่ปลอดภัยแข็งแรง TRAVEL AND CAMP ON DURABLE SURFACES

  • สำรวจหาพื้นที่ตั้งแค้มป์กางเต็นท์ที่ปลอดภัยแข็งแรง
  • บริเวณที่ตั้งแค้มป์ควรอยู่ห่างจากทะเลสาบ หรือลำธารอย่างน้อย 70 เมตร
  • หลีกเลี่ยงการตั้งเต้นท์ใกล้ต้นไม้ใหญ่ เดี๋ยวไม้หักลงมาฟาดตายไม่รู้ตัว (ฟ้าผ่าก็ลงต้นไม้ใหญ่ก่อนนี่แหละ ไปให้พ้นรากมันด้วย)
  • เดินตามเส้นทางที่กำหนดและตั้งแคมป์ในพื้นที่ที่อนุญาตเท่านั้น เพื่อลดการทำลายพืชและดินที่อาจเกิดจากการเหยียบย่ำ

3. รู้จักการกำจัดขยะอย่างถูกต้อง DISPOSE OF WASTE PROPERLY

  • นำเข้าไปแค่ไหน ให้นำออกมาให้หมด ตรวจสอบขยะและความเรียบร้อยของพื้นที่ให้มั่นใจว่าเมื่อออกมาแล้วสถานที่นั้นยังเหมือนเดิม
  • ขุดหลุมลึกประมาณ 15 เซ็นติเมตร (หรือจะลึกกว่าก็ได้ ถ้าไหว) ห่างจากริมน้ำ ลำธารอย่างน้อย 70 เมตร เพื่อกำจัดอุจจาระ ของเสียส่วนตัว (บางพื้นที่อาจมีกฎให้ถ่ายในถุงและนำออกมาด้วย)
  • ในป่า พื้นที่ห่างไกล ทุกครั้งเมื่อทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ให้ฝังกลบได้เฉพาะกระดาษทิชชูแห้ง (ที่ย่อยสลายได้) ส่วนทิชชูเปียกมันไม่ย่อยสลาย ต้องเก็บออกมาเพื่อทิ้งด้านนอกหลังจากออกจากพื้นที่

4. ทิ้งสิ่งที่พบให้อยู่ที่เดิม LEAVE WHAT YOU FIND

  • ดังที่ว่า “เก็บไปเพียงความทรงจำ ทิ้งไว้เพียงรอยเท้า”
  • รักษาไว้ เพื่อคนรุ่นหลัง ดูแต่ไม่แตะต้อง ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ หิน ดอกไม้ สัตว์ป่า หรือสิ่งของใดๆ

5. ระมัดระวังการก่อกองไฟ การใช้ไฟ MINIMIZE CAMPFIRE IMPACTS (BE CAREFUL WITH FIRE)

  • ควรก่อไฟบนอุปกรณ์เตา ซึ่งเดี๋ยวนี้ มีเตาแก๊สพกพาเยอะมาก ไม่ก่อไฟบนพื้นดินหรือพื้นหญ้าโดยตรง
  • ใช้ไฟเท่าที่เพียงพอ กองไฟเล็ก ใช้เศษไม้จากพื้นดินที่สามารถหักได้ด้วยมือ เผาไม้และถ่านให้เป็นขี้เถ้า ดับไฟให้หมดจากนั้นโปรยขี้เถ้าเย็นๆ หลังจากใช้งานเรียบร้อย

6. เคารพสัตว์ป่า RESPECT WILDLIFE

  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
  • ชมสัตว์ป่าจากระยะไกล อย่าติดตามหรือเข้าใกล้มากเกินไป ถ้ายืดแขนสุดแล้วยกนิ้วโป้งปิดตัวน้องไม่มิด ให้วิ่งสี่คูณร้อย!
  • ห้ามให้อาหารสัตว์ การให้อาหารสัตว์เป็นการทำลาย และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ป่า ทำให้สัตว์เหล่านี้เข้ามาขอ คุ้ยเขี่ยอาหาร และอาจทำอันตรายต่อคนได้
  • ปกป้องสัตว์ป่า และอาหารของเรา ด้วยการจัดเก็บให้เรียบร้อยและแน่นหนา
  • เศษอาหาร ถ้าจะฝังกลบ ต้องขุดลึกหลุมประมาณ 30x30 เซ็นติเมตร เอาเศษอาหารที่เหลือโยนลงไป แล้วหาก้อนหินมาปิดให้มิด จากนั้นค่อยเอาดินกลบอีกที ป้องกันสัตว์ป่ามาขุดหาเศษอาหาร

7. เกรงใจผู้อื่น Be considerate of other visitors

  • ยึดหลักการ “ปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบที่คุณต้องการได้รับการปฏิบัติ”
  • เคารพผู้อื่นเสมอ มีมารยาท ให้เกียรติผู้ร่วมทาง ไม่ขวางทางในการใช้ทางร่วมกัน
  • ให้ทางกับลูกหาบ คนขนของ และสัตว์ที่กำลังสัญจรขนของ เช่น ม้า ล่อ จามรี
  • หลีกเลี่ยงการทำให้เกิดเสียงดัง สร้างความรำคาญ ท่ามกลางธรรมชาติ

จากนั้นให้เวลาจัดเป้ของตัวเอง 30 นาที แล้วก็ขึ้นรถกระบะของอุทยานฯ เพื่อไปจุดเริ่มเดิน ฝนตกแหมะๆ แบบเย็นพอประมาณ แต่ตอนอยู่บนรถแล้วโดนฝนสาดใส่นี่ก็เจ็บไม่ใช่เล่น 555

สถานี 1 ทุ่งใหญ่เสาอาราม ชีวิตและลมหายใจ

พอไปถึงจุดแรก ก็ยืนล้อมวงกลม แนะนำตัวทีละคน ชื่ออะไร มาจากจังหวัดไหน ทำไมถึงสมัครมา วนไปจนครบ ทั้ง จนท. ครูผู้ช่วย และนักเรียน

เป็นการเดินป่าครั้งแรก ที่มีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลหลายสิบชีวิต มีรถพยาบาลมาจอดรอ รู้สึกปลอดภัยหายห่วง

จากนั้น พี่โหน่ง และ คุณเปรี้ยว (จนท.) ก็เล่าที่มาที่ไปของสถานที่ (เอาข้อมูลมาจาก อุทยานแห่งชาติภูเวียง — Phu Wiang National Park) และอนุสรณ์สถานผู้พิทักษ์ป่าภูเวียง

ในอดีตเคยเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด และปรากฏร่องรอยวัดวาอาราม ใบเสมาและร่องรอยการทำกินอยู่อาศัยของชาวเมืองทุ่งใหญ่เสาอาราม

ตามตำนานเล่าว่า ช่วงพุทธศตวรรษที่ 12–16ในสมัยพระเจ้าละโว้แห่งราชอาณาจักรทวาราวดี เมืองละโว้ถูกอาณาจักรขอมและพม่ารุกราน ชาวเมืองบางส่วนได้อพยพมายังบริเวณภูเขาวง (ภูเวียง) ซึ่งมีท้าวขุนเวียงเป็นเจ้าเมือง โดยทำเลที่ตั้งเมืองอยู่บริเวณทุ่งใหญ่เสาอารามในปัจจุบัน ชาวเมืองซึ่งมีอาชีพทำไร่และล่าสัตว์ได้สร้างบ้านสร้างวัดและโบสถ์ขึ้นเป็นอารามกว้างใหญ่และสูงเด่น มีการขุดบ่อเหล็ก บ่อทอง ถลุงออกเป็นแท่งทำเป็นภาชนะ เครื่องใช้ต่างๆ ส่วนวัดวาอารามได้ฝังใบเสมาทองคำทั้ง 4 ทิศ ลูกนิมิตสร้างจากทองสามกษัตริย์ขนาดเท่ากระบุง เป็นที่เลื่องลือไป ทั่วสารทิศ เมื่อความถึงพระเจ้าเชียงอินทร์ผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ จึงส่งทหารนำพระราชสาส์นมาแจ้งยังบ้านทุ่งใหญ่เสาอารามเพื่อให้สวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม่ แต่ท้าวขุนเวียงไม่ยอมและได้นำทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองใส่ลงในไหนำไปฝังไว้ในที่ต่างๆ ทั่วบริเวณภูเขาวงและท่องมนต์สะกดบังตาไว้ หลังจากนั้นได้พาชาวเมืองอพยพสู่เมืองนครวัดนครธมแห่งอาณาจักรขอมและหาย สาบสูญไปทิ้งไว้เพียงตำนานเมืองภูเขาวงแห่งทุ่งใหญ่เสาอาราม

ในปี พ.ศ. 2500 ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอภูเวียงได้มาพบใบเสมา เสาหลักเมือง และซากปรักหักพังของวัดวาอาราม จึงได้อัญเชิญเสาหลักเมือง ซึ่งเป็นเสาไม้กลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 นิ้ว ยาว 15 เมตร ที่อยู่บริเวณทุ่งใหญ่เสาอารามแห่งนี้ไปประดิษฐานไว้ที่ศาลหลักเมืองอำเภอภูเวียงในปัจจุบัน

ครูผู้ช่วย นำการ ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ยืดคอซ้ายขวา หมุนไหล่ ก้มแตะเท้า ทรงตัวด้วยขาทีละข้าง

สอนวิธีการยกเป้หนักๆ ขึ้นหลัง ด้วยการเอาเข่ารองรับก่อน (ไม่เคยทำเลย ถึงว่า หลังแปร๊บบบบ 555) และ การปรับสายกระเป๋าใดๆ

(เนี่ย ถ้ารู้สิ่งนี้ตั้งแต่ป่าแรก ก็จะเริ่ดมาก นี่ทำเป็นเพราะเดินมาหลายป่า แน่นอนว่าต้องผ่านการปวดหลังมาก่อน และเราจะเริ่มซื้อกระเป๋าเดินป่าที่เหมาะสมกับตัวเรา)

วิธีการปรับสายกระเป๋า:

  1. ปรับสายสะโพก สายสะโพก (hip belt) เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการรองรับน้ำหนักของกระเป๋า ควรปรับให้ส่วนกลางของสายสะโพกอยู่ที่กระดูกสะโพกพอดี และดึงสายให้แน่นเพื่อให้น้ำหนักของกระเป๋ากระจายไปที่สะโพก แทนที่จะเป็นที่ไหล่
  2. ปรับความยาวของสายสะพายไหล่ หลังจากปรับสายสะโพกแล้ว ให้ดึงสายสะพายไหล่เพื่อให้กระเป๋าแนบไปกับแผ่นหลัง ควรปรับให้สบายและไม่แน่นเกินไป เพื่อให้ไหล่รับน้ำหนักเพียงเล็กน้อย
  3. ปรับสายดึงความสมดุล (Load Lifters) สายดึงความสมดุลจะอยู่บริเวณด้านบนของสายสะพายไหล่ ทำหน้าที่ดึงกระเป๋าให้ชิดกับร่างกายมากขึ้น เพื่อให้กระเป๋าไม่เอนไปข้างหลัง ควรปรับให้ทำมุมประมาณ 45 องศาจากไหล่ไปถึงกระเป๋า
  4. ปรับสายหน้าอก (Chest/ Sternum Strap) สายหน้าอกจะช่วยให้สายสะพายไหล่คงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและไม่เลื่อนไหล ควรปรับให้กระชับโดยไม่รัดแน่นเกินไป เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดบริเวณหน้าอก
  5. ปรับสายรัดด้านข้างของกระเป๋า (Compression Straps)
    สายรัดด้านข้างช่วยกระชับข้าวของในกระเป๋าและทำให้กระเป๋าคงรูป ไม่เอนไปด้านหลัง ปรับให้แน่นพอที่จะรักษาความสมดุลของกระเป๋า

มีแนะนำการปรับความสูงของไม้เทรคด้วย แต่รอบนี้ไม่ได้เอามา เพราะจากการศึกษาพื้นที่แล้ว คิดว่าไม่น่าได้ใช้ (นี่ก็ทำเป็นเพราะประสบการณ์ตรงเหมือนกัน ไม่เคยหาความรู้อะไรก่อนเล้ยยยย 555)

วิธีการปรับไม้เทรค:

  1. ปรับความสูงพื้นฐาน หรือ พื้นราบ ในระดับที่ข้อศอกทำมุมประมาณ 90 องศา เมื่อจับมือจับ และปลายไม้เทรควางอยู่ที่พื้น ไม้เทรคไม่ควรยาวหรือสั้นเกินไป เพราะจะทำให้เสียสมดุลและเพิ่มความเมื่อยล้า
  2. ปรับสำหรับทางขึ้นเขา ให้สั้นลงเล็กน้อย (ประมาณ 5–10 ซม.) เพื่อให้สามารถดันตัวเองขึ้นไปได้สะดวก และไม่ต้องยกแขนสูงเกินไป
  3. ปรับสำหรับทางลงเขา ให้ยาวขึ้น (ประมาณ 5–10 ซม.) เพื่อช่วยรักษาสมดุลและรองรับน้ำหนักได้ดี ช่วยลดแรงกระแทกที่เข่า
  4. ปรับสายรัดข้อมือ (Wrist Strap) ช่วยให้จับไม้เทรคได้มั่นคงและไม่เมื่อยล้า ควรสอดมือเข้าจากด้านล่างของสายรัดแล้วจับที่ด้ามมือจับ จากนั้นดึงสายรัดให้กระชับพอดี

ด้วยความที่มีสมาชิกทั้งหมด 19 คน (มีตัวจริงสละสิทธิ์ มีสำรองมาเสียบใดๆ จำไม่ได้แล้ว) ก็เลยแบ่งเป็นสองกลุ่ม เรียงตามลำดับที่ เราอยู่กลุ่มสอง ก็เลยต้องรอให้กลุ่มหนึ่งเดินทิ้งห่างไปสักระยะหนึ่งก่อน

สถานี 2 เปิดผัสสะ

เดินมาได้สักพัก ก็มาหยุดยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่มีกิ้งกือยักษ์เดินเล่นอยู่แถวนั้น หลับตาเปิดช่องทางอื่น เผื่อรับสัมผัสต่างๆ เป็นเวลา 5 นาที แล้วก็ให้เล่าทีละคนว่าสัมผัสได้ถึงอะไร ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หู จมูก ใดๆ

เดินไปแป๊บเดียวจริงๆ นะ อยู่ๆ ก็หยุดเดิน ยืนนิ่ง แล้วบอกว่า ถึง สถานี เปิดผัสสะ แล้ว

// สถานี 3 (ข้ามไปก่อน เพราะอยู่ใกล้กันเกินไป) //

แมงปอ ดอกไม้ แมลง กิ้งกือ เห็ดหลายสิบ ผีเสื้อ ใยแมงมุม ข่าป่า ต้นยางนา ลูกกระบก(มั้ง)

สถานี 4 ราชาแห่งไพรพฤกษ์

ก็คือ ต้นยางนา (ยักษ์) เมื่อก่อนสูงกว่านี้ น่าจะ 35 เมตร แต่โดนฟ้าผ่าเปรี้ยง หรือไม่ก็ยอดหักลงมาเอง ตอนนี้น่าจะสูง 25 เมตร ด้านข้างๆ ของต้น ยังมีซากที่หักลงมานอนกองอยู่เลย อยู่มาหลายร้อยปีแล้ว เป็นความเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์บังตา ทำให้ไม่โดนตัดในช่วงสัมปทานป่าไม้ น่าจะต้องใช้ 8–9 คนโอบรอบลำต้น

ต้นไม้ในสกุล Dipterocarpus มักเป็นต้นไม้สูงใหญ่ บางต้นสามารถสูงได้ถึง 40–70 เมตร ที่สำคัญคือ ผลหรือลูกของมัน มีลักษณะเด่นที่ปีกสองข้าง ซึ่งช่วยให้ผลถูกพัดพาไปตามลมเมื่อร่วงหล่น เพื่อการกระจายพันธุ์

ราชาแห่งป่านี้ ที่รอดจากการตัด พักกินข้าวกลางวันกันที่นี่เลย ประมาณ​ 30 นาที

ส่วนบนพื้นมี ต้นโด่ไม่รู้ล้ม (สำหรับท่านชาย) กับ หญ้ารีแพร์ใบหยักๆ (สำหรับท่านหญิง) โตอยู่ข้างๆ กันเลย แล้วคือมันจะมีอีกใบที่หน้าตาคล้ายหญ้ารีแพร์มาก แต่ไม่รู้ว่าคือต้นอะไร ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหยิบผิดไปต้มกินจะตายไหม 555

สถานี 5 ร่องรอยสัมปทาน

หลังจากที่พักกับต้นยางนาเรียบร้อย ก็เดินทางต่อ เดินข้ามต้นไม้ที่ล้มๆ มา นั่นแหละ โดนตัดจ้า พี่โหน่ง และ พี่เตอร์​ ช่วยกันเล่าช่วงเอกชนเข้าสัมปทาน และ ถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) หลังจากการประกาศ “ยุติสัมปทานป่าไม้” โดยรัฐบาล เนื่องจากเกิดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าอย่างรุนแรง ทำให้พื้นที่ป่าของประเทศไทยลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมและดินถล่มในหลายพื้นที่ มีทั้งผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต บ้านเรือนพังพินาศจำนวนมาก

หลังจากยุติสัมปทาน เกิดการเซฟป่า อุทยานแห่งชาติภูเวียง ก็ได้ขึ้นทะเบียน เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 71 ของประเทศไทย โดยได้รับการประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2534 โดยมีความโดดเด่นในเรื่องการค้นพบซากฟอสซิลของไดโนเสาร์หลายชนิด ซึ่งทำให้พื้นที่นี้มีความสำคัญทางด้านธรณีวิทยาและโบราณคดี

% ป่าของไทย ก็คือลดลงทุกปี จากปี พ.ศ. 2503 ที่มีประมาณ 50% ปัจจุบันน่าจะเหลือ 31% นิดๆ แล้ว เศร้าจัด อากาศก็ร้อนจัดของจริง (ที่ตอนเด็กๆ รู้สึกอากาศไม่ร้อนขนาดนี้เป็นเรื่องจริงที่สุด)

ปลูกป่าวันนี้ โตวันนี้ เราไม่ได้เห็นมันโตหรอก แต่ปลูกให้คนรุ่นหลังกันนะ

เรื่องเล่าของการเซฟป่า ต้นไม้ใหญ่ สารพัดเห็ด และดอกไม้

สถานี 3 สายธารแห่งชีวิต

สถานีที่ถูกข้ามมา เพราะอยู่ใกล้อีกจุดมากไป

Concept ของสถานีนี้ ป่าคือชีวิต คือแหล่งน้ำ น้ำป่าไหลหลากพังบ้านเรือน ถ้ามีต้นไม้ช่วยซับน้ำ มันก็จะไม่เสียหายมาก

  • พื้นที่ป่าช่วยให้ดินสามารถเก็บน้ำได้ดีขึ้น เนื่องจากรากของต้นไม้ช่วยในการซึมซับน้ำฝนเข้าสู่ดิน และป้องกันไม่ให้น้ำไหลบ่ารวดเร็วเกินไป
  • ต้นไม้ช่วยลดอัตราการไหลของน้ำฝนลงไปตามพื้นที่ลาดชัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
  • รากของต้นไม้ทำหน้าที่ป้องกันการชะล้างของดิน ซึ่งช่วยลดปัญหาการกัดเซาะดินและการพังทลายของหน้าดิน ทำให้แม่น้ำลำคลองไม่เต็มไปด้วยตะกอนที่เกิดจากการชะล้างดิน
  • ป่าช่วยรักษาความชุ่มชื้นในอากาศ ทำให้อุณหภูมิในพื้นที่ป่ามีความเย็นสบาย ซึ่งส่งผลต่อการเกิดฝนที่สม่ำเสมอในพื้นที่รอบๆ
  • ป่ามีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและรักษาแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำธาร และบึง การสูญเสียป่ามักนำไปสู่การเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำ

ปลูกป่าวันนี้ ช่วยกันวันนี้ หรือไม่ก็ลดการใช้ทรัพยากรให้น้อยลง กระดาษ จะ Reuse, Recycle อะไรก็ว่าไป ใช้ซ้ำได้ก็ใช้ให้มันคุ้มค่าที่สุด พลาสติกมันอยู่ได้เป็นร้อยปี ขยะจากพวกนี้ทำให้สัตว์ป่าตาย (รวมถึงสัตว์ทะเล ที่เราเห็นข่าวกันด้วย)

สถานี 6 ไฟป่า ไฟมนุษย์

3 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดไฟ ความร้อน ออกซิเจน เชื้อเพลิง รวมกันเมื่อไหร่ได้เรื่อง อย่างป่าเส้นทางนี้ ถ้ามาหน้าแล้ง แล้วเกิดไฟป่าขึ้นนะ ต้องวิ่งให้เร็วสุดเลย (ซึ่งก็อาจจะไม่รอด) เพราะมันแห้งและมันลามเร็วมาก

ดังนั้น ในฐานะคนเดินป่า สมัยนี้ตั้งแคมป์ ไม่ต้องจุดไฟก่อฟืนแล้ว แก๊สกระป๋องเยอะแยะ ใช้เสร็จก็ดับ ควบคุมพื้นที่ใช้ จะได้ไม่สร้างเรื่อง

และ ไม่เผาขยะ กันนะจ๊ะ

(จะบอกพวกคนทำทัวร์ยังไงดีนะ ลูกหาบที่เป็นคนพื้นที่ใดๆ นี่ก็ตัวตั้งตัวตีเผาขยะเลย)

ถึงจุดตั้งแคมป์ มีล้อมวง บรีฟคร่าวๆ

  • การเลือกพื้นที่ในการพักแรม
  • การผูกเปล ป้ายยาให้ซื้อเปลอะไรกันเยอะแยะ งงมาก (มีสอนผูกเชือกด้วย แต่นี่ก็ยังทำไม่เป็นอยู่ดี)
  • การจัดการกับขยะเศษอาหารที่ฝังกลบได้ ก็ไปขุดหลุม 30x30cm (ตามที่กล่าวไปด้านบน)
  • การเข้าห้องน้ำธรรมชาติ ขุดอย่างน้อย 15cm หรือหนึ่งคืบ ทิ้งลงหลุมได้แค่ทิชชูแห้ง (ที่ย่อยสลายได้) ถ้าทิชชูเปียกต้องเก็บลงไปทิ้งข้างล่าง (ตามที่กล่าวไปด้านบน)
เดินทางมาถึงแบบงงๆ ล้อมวงรับบรีฟ ผูกเชือก กางเปล ป้ายยา และยุงกัด -_-

จากนั้นก็แยกย้ายเลือกพื้นที่ จัดการ กางเต็นท์/เปล ของตัวเอง นั่งดูวิวพระอาทิตย์ตกเบื้องหน้าด้วยวิวภูกระดึง กินมื้อเย็นตามศรัทธาที่แบกกันมา เป็นทริปแรกที่รู้สึกว่าแต่ละคนมีไอเท็มประกอบอาหารเยอะมาก ประทับใจในนวัตกรรมการเดินป่าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับตอนเข้าวงการแรกๆ (ไม่นับภูกระดึงที่ความสะดวกสบายดีเวอร์) ก็น่าจะ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นอาหาร Ready to Eat ยังรสชาติไม่ดีด้วยซ้ำ

กางเต้นท์ ดูวิว กินมื้อเย็น ตื่นตาตื่นใจกับไอเท็มนวัตกรรม

ช่วงประมาณสองทุ่ม ก็มาล้อมวงกันอีกที มีหัวข้อให้แต่ละคนตอบว่า ไปป่าไหนเป็นป่าแรก ทำไมชอบเดินป่า คาดหวังอะไรจากกิจกรรมนี้

ไม่คาดหวัง ไม่ผิดหวัง แต่ประทับใจพี่โหน่ง (กราบสามรอบไม่แบมือ) ที่เป็น Google Lens ถามอะไรก็ตอบได้มากค่ะ

สรุปที่จะจำแม่นๆ ไม่เผาของ ถ้าไม่ฝังกลบ ก็ถือกลับออกมา!

พระอาทิตย์ตกประมาณหกครึ่ง ล้อมวงประมาณสองทุ่มกว่า เล่าไปรอบวง กว่าจะจบก็ประมาณสามทุ่มหน่อยๆ

หลังจากจบกิจกรรมกลางคืน ใครใคร่อยู่คุยต่อก็แล้วแต่ ทางนี้ขอทำตามกฎ เกรงใจผู้อื่น คือ เข้าเต้นท์นอน 5555

จะบอกว่ากลางคืน ป่านี้น่ากลัวมาก มันไม่มีไฟเลยจริงๆ (แม้จะมีไฟฉายคาดหัว) จุดเข้าห้องน้ำที่เค้าปักป้ายไว้ ตอนกลางวันที่ดูเหมือนใกล้ กลางคืนก็คือไกลมาก ไปไม่ถึงดี หาจุดเข้าข้างทางเลย มืดจัดๆ แต่เอาจริงก็คือ ปลอดภัยนะ (แต่เราไม่ชินไง กลัวไว้ก่อนดีกว่า ความรู้สึกเหมือนจะมีงูโผล่มาฉกได้ตลอดเวลา)

ขอบคุณ จนท. ลาดตระเวน จนท. อุทยานฯ รวมถึงทางโรงเรียน อาสาสมัครใดๆ ที่มาสำรวจพื้นที่ เป็นรุ่นทดลอง ก่อนจะเปิดรุ่นที่ 1 มา ณ ที่นี้ค่ะ

หลับผ่านไปหนึ่งคืน

แบบไม่สนิทนัก หลับๆ ตื่นๆ เพราะฝนตกหนัก เสียงดังมาก กลัวน้ำจะท่วมเต็นท์…

ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ หมอกเยอะมาก และชาวคณะหลายท่านก็ยังตั้งเตาแก๊ส นับถือจริงๆ

ก่อน 6 โมงเช้า ร่างกายก็ตื่นเองตามปกติ แล้วก็เดินลากแตะกับพื้นดินลื่นๆ ไปขุดหลุมเข้าห้องน้ำ เดินไปไกลมาก กว่าจะพบที่โล่งเล็กน้อย (ส่วนมากเป็นต้นหญ้าสูงชันเต็มไปหมด) แล้วก็ได้พบว่า พลั่วที่เพิ่งซื้อมา ที่มันพับเก็บได้ มันไม่เวิร์คเท่าไหร่ นึกเสียดาย ที่ไม่ได้ยืมจอบของ จนท. มา นั่งขุดอยู่นาน เพื่อให้ได้อย่างน้อย 15cm และ ระหว่างนั่งทำภารกิจ ก็โดนยุงกัดก้นไปหลายตุ่ม ฮืออออ

สิ่งที่พกเดิน มาด้วยนอกจากพลั่วคือ กระดาษทิชชูแห้ง กระดาษทิชชูเปียก ถุงขยะ และสเปรย์แอลกอฮอล์

หลังจากเสร็จภารกิจ ก็เดินกลับมาล้างมือ (ด้วยน้ำฝนในถังจำนวนมาก อยากมีส่วนร่วมในการใช้ 555) เดินไปดูหมอก เดินไปเดินมาแบบคนไม่มีอะไรทำ กินมื้อเช้าแบบพอประทังชีวิต เก็บข้าวของลงกระเป๋า เก็บเต็นท์ เคลียร์พื้นที่

นั่งรอเวลานัดหมาย 9:00 น. ซึ่งเลทประมาณ 10 นาที เพราะอีกโซนมัวแต่เม้าท์ -_-

งานใช้กำลังของคนบ้าพลัง

จากนั้นก็เคลื่อนพล ไปฝังกลบเศษอาหารที่ขุดหลุมไว้เมื่อวาน ดินที่กองรอบๆ หายหมด เพราะฝนเทชะล้างไปหมดละ เลยต้องขุดใหม่ วิธีการก็คือ ต้องเอาหินโยนลงไปทับๆ ก่อนเพื่อไม่ให้สัตว์ป่ามาขุด จากนั้นค่อยฝังกลบ เขาขออาสาสมัคร นี่ก็เลยจับจอบฟันดิน ปั้กๆ ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ หลุม ก็คือ ค่อยๆ ถอยห่างไปทีละ 2–3 ก้าว น่าจะกลัวโดนฟันเท้า 555+

จากนั้นเป็นกิจกรรมให้อาบป่า นั่งนิ่งๆ ห้ามใช้มือถือ ดูนู่นดูนี่ไปรอบตัว (และบางคนก็หลับเฉย) พอไม่รู้กรอบเวลา ผ่านไป 15 นาที โรควิตกกังวลก็มา เพราะว่ากลัวตกเครื่อง นิสัยต้องรู้เวลาตลอดนี่แก้ไม่หายจริงๆ

ล้อมวงบอกเล่า ว่าเป็นยังไงบ้างกับกิจกรรมอาบป่า | เดินทางออก | ล้อมวงสรุปกิจกรรม

จบกิจกรรมอาบป่า ก็มายืนเป็นวงกลมกันอีกครั้ง เพื่อบอกเราว่าเราได้สัมผัสอะไร ตา หู จมูกใดๆ ระหว่างที่ไปนั่งอันยาวนาน ก็เลยเล่าไปว่าเห็นอะไร ได้ยินอะไร และรู้สึกอะไร หลังจากบอกทุกคนว่า กลัวตกเครื่อง ที่นี้ทุกคนเลยจำฉันได้เลยว่า ฉันต้องกลับเครื่องบิน 555 พากันถามไถ่ใหญ่ว่า Flight กี่โมง ขอบคุณค่า

จากนั้นก็ขึ้นเป้ ถ่ายภาพหมู่ พร้อมเดินกลับลงมาอย่างจุดเริ่มต้น ซึ่งเป็นคนละเส้นกับขามา

ภาพหมู่ของชาวคณะ ที่ไปดอยมาจากเพจของโรงเรียน

การเดินกลับมายังจุดเริ่มต้น เป็นทางเดินอีกทาง เรียกได้ว่า เดินเป็นสี่เหลี่ยมก็น่าจะได้ ขากลับทางเดินง่ายมาก เป็นทางที่รถสามารถเข้าถึงได้ เหมือนที่เขาบอกตอนต้นว่า ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไร ก็เอารถมารับได้ ไม่มีแล้วป่าสุดรกที่โดนพันแข้งพันขาพันหัวเมื่อวาน (แต่ชอบป่าแบบเมื่อวานนะ มันให้ความรู้สึกเป็นป่าจริงๆ รกจริง ถ้ามืดในนั้นก็น่าจะหลงป่าไปเลยจริงๆ)

ระหว่างเดินกลับ สองฝั่งข้างทาง จะเป็นป่าคนละแบบ ซ้ายมือเป็น ดิบแล้ง ขวามือเป็น เต็งรัง เจอต้นไม้ ผลของต้นไม้ เยอะมาก ที่จำชื่อไม่ได้ พี่โหน่ง Google Lens ท่านหนึ่งก็คือ ชี้นู่นนี่ให้ดู บอกเล่าสุด ถามว่านี่จำได้ไหมก่อน 555

ที่สำคัญเลยก็คือ ได้เห็นรอยเท้าหมูป่าแบบสดใหม่ ฝังประทับลงไปในดินโคลน เท่มาก (เพลง hakuna matata ต้องมา)

รอยเท้าหมูป่า ปลวกป่าเค้าว่าไม่กินไม้ ตะบากเป็นญาติกับต้นยางนา เห็ด ผีเสื้อจำนวนมากมาเกาะแกะ

พอออกมาที่ป่าคอนกรีต ถนนลาดยาง ก็คือ ร้อนระอุ แบบไอร้อนฟาดหน้า อยากหนีกลับเข้าไปในป่าใหม่ เดินกลับมาที่จุดเริ่มต้นของการเดิน ก็วางเป้แล้วก็ไปยืนล้อมวงสรุปกิจกรรม ตรงอนุสรณ์สถานผู้พิทักษ์ป่าภูเวียง ว่าเป็นยังไงกันบ้าง ที่คาดหวังไว้ตอบโจทย์ไหม หลักๆ ก็คือ ชวนให้เผยแพร่วัฒนธรรมการเดินป่าที่ดีและยั่งยืน

** เราเดินป่าแบบ ผู้พิทักษ์ ไม่ใช่ ผู้พิชิต **

ทิ้งท้าย ถ้าเจอกันข้างนอกก็ทักทายได้ (จะจำใครได้ไหม นี่อีกเรื่องนะ) หรือไม่ก็กลับมาเป็นนักเรียน หรือไม่ก็กลับมาเป็นครูผู้ช่วยได้

จากนั้นก็ขึ้นรถกระบะอีกครั้ง กลับมายังลานกางเต็นท์ตาดฟ้า รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดด้วยความเร็วแสง แล้วซิ่งกลับไปตัวเมือง เพื่อคืนรถ และเช็คอินที่สนามบิน

และแน่นอนว่า ไม่ตกเครื่อง 555 (ขอบคุณหลายๆ คนที่ถามไถ่)

สิ่งที่ประทับใจที่สุดในสามวันสองคืนนี้คือ ไก่ย่างจังหวัดนี้อร่อยมาก ไม่ว่าจะร้านจริงจัง หรือร้านแบบเป็นเพิง ร้านรถเข็นตลาดนัดที่วัด ดีหมดเลย

ปล. ถ่าย Short clip ไว้เยอะมาก เอากลับมาทำเป็น Reels ใน IG ไว้หลายโพสต์ (ช่วงนี้กำลังเห่อ CapCut 555)

หลักฐานการเอาขยะออกมาจากป่า มาทิ้งไกลในปั๊ม ปตท. ณ ตัวเมือง ขอนแก่น (จริงจังมาก 555)

[พูดกับตัวเอง] ทำอย่างไรให้เผยแพร่วัฒนธรรมการเดินป่าที่ดีและยั่งยืน

  • ภาครัฐพัฒนานโยบายที่สนับสนุนการเดินป่าอย่างยั่งยืน เช่น การกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับการเข้าถึงพื้นที่ธรรมชาติ การจัดการขยะในอุทยาน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
  • นี่ถึงขั้นคิดเลยว่า เป็นคำสั่งลงมาจากกรมป่าไม้ กรมอุทยาน อะไรเลยได้ไหม พวกผู้ประกอบการนำเที่ยวแนวนี้ ควรต้องมีสอบ และสอบวัดประเมินเรื่อยๆ เพื่อจะได้ทำทัวร์ให้ดี
  • หรือถ้าใครเผาในพื้นที่ป่า ก็ต้องจับปรับจริงๆ (แต่เจ้าหน้าที่ก็น้อย จับไม่ไหวอีก) หรือ ใครเผา ถ่ายรูปส่งมา มีรางวัล (ทำเหมือนถ่ายรูปพวกมอเตอร์ไซค์ขี่บนฟุตบาธ)
  • สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ร่วมมือในการจัดกิจกรรมการเดินป่า การฝึกอบรม และการอนุรักษ์ธรรมชาติ สำหรับคนที่ชอบเดินป่า กระจายความรู้ให้มากที่สุด ไปไกลที่สุด
  • แต่ถ้าคนอายุมากแล้วนิสัย (สันดาน) แก้ยาก เราสามารถเริ่มต้นกับโรงเรียนประถม หรือ มัธยม เลยได้ไหมนะ?

--

--

Parima Spd
Parima Spd

Written by Parima Spd

I enjoy reading and writing. Continue to learn and try new things to improve. Before you die, explore this world.

Responses (1)