รีวิวและสรุปเนื้อหางาน Agile Thailand 2023 ที่ได้เข้า #ATH2023
งาน Agile Thailand เป็นการรวมตัวของ Community คน (พยายาม) ใช้ Agile ในการทำงาน โดยปีนี้มาใน Concept: Business people and developers must work together daily throughout the project ก็มีการกดตั๋วฟรีสามรอบเช่นเคย แน่นอนว่าคนอย่างเราต้องได้มาครองตั้งแต่รอบแรกอยู่แล้ว โฮะๆๆ
นี่เป็นการไปงานเป็นครั้งที่สองของเรา จากบรรดาหลายปีที่เค้าจัดกันมา (สามารถอ่าน Blog ของปี 2022 ที่เราไปงานมา ได้ที่นี่) ปีนี้ได้ทาง AXONS เป็น Sponsors ใหญ่ โดยเฉพาะด้านสถานที่ ที่ถือได้ว่ากว้างขวาง โล่ง โปร่งสบายมากทีเดียว นั่นก็คือ True Digital Park ฝั่ง West ที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน เสียอย่างเดียวไกลบ้านมากไปหน่อย ประหนึ่งจะเดินทางไปพัทยา แถมมีระบบการจอดรถแบบ Auto Parking ที่ดูอลังการยิ่งใหญ่ด้วย (ถ้าเคยไปเห็นแถวย่านสะพานควาย อารีย์ จะมีความเล็กๆ คับแคบอยู่)
ก่อนวันงานในกลุ่มไลน์ (ที่เค้าให้ Add เข้าไปเพื่อรับข่าวสาร) ก็จะมีความคึกครื้นเป็นระยะ ทั้งเรื่อง
- การจองบัตรทั้งสามรอบ
- การที่คนไปไม่ได้แล้วปล่อยบัตร
- คนที่มารอเสียบรอรับบัตรที่ถูกปล่อย
- คนที่ยังไม่มีบัตร แต่มีเรื่องอยากแชร์ ก็มาแลกบัตรได้ (ด้วยการเขียนเนื้อหาที่จะพูด และจอง Slot เวลาผ่าน Miro)
- โหวตคำที่ชอบ เพื่อเอาไปทำป้ายถ่ายรูปถือในงาน
ปีนี้ก็เป็นโมเดลแบบงานบุญเช่นเคย สปอนเซอร์ต่างๆ ขนของมาช่วยกันแจก ทั้งของกิน ของใช้ รวมไปถึงตุ๊กตา! //ขอบคุณค่า
สามารถดูเหล่าสปอนเซอร์ได้ที่เพจ agilethailand เนื่องจากปีนี้ ใน Miro ไม่ได้แปะเอาไว้ (ปีที่แล้วมีแปะ ก็เลยไปแคปมาได้)
ก่อนวันงาน มีการสื่อสารตอนเกือบจะห้าทุ่ม ว่า
- เริ่มแปะหัวข้อที่บอร์ดตอน 8:00 น.
- เปิดงานตอน 08:45 น.
คือหลับไปแล้ว พอตื่นมาเห็นปุ๊บ ก็ปรับแผนเวลาออกจากบ้าน (แบบชาว Agile) เพื่อไปให้ทัน เพราะไม่ได้บอกมาก่อนว่าจะเริ่มตอนนี้ เราก็นึกว่าเริ่มลงทะเบียน 9:00 น. มาตลอด แล้วบ้านไกลอีกกกกกก แต่ระดับนี้แล้ว ก็มาถึงหน้าตึกตอน 8:00 น. เป๊ะนั่นแหละ (ขอบคุณท่านพ่อที่มาส่ง ณ ที่นี้)
รีบมาขนาดนี้ ถามว่าแปะหัวข้อที่ตัวเองจะพูดเหรอ? ก็เปล่านะ เขียนให้พี่หนุ่ม 555
หลังจากปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อย ก็ได้เวลารับของแจกจากเหล่าสปอนเซอร์ผู้ใจดี มีทั้ง ยาดม แก้วกาแฟ เสื้อยืด ตุ๊กตา/เคสคอม ของว่าง น้ำเปล่า
แต่ร่างกายต้องการคาเฟอีน ก็เลยเมินของว่างและน้ำเปล่าแป๊บนึง ขอไปซื้อชาเย็นที่ True Coffee แทน
ใกล้ได้เวลาเปิดงาน ทีม Staff ก็ต้อนทุกคนเข้าห้อง โดยเชิญเหล่าคนที่เป็นผู้พูดเข้าห้องที่สอง ส่วนห้องอื่นเป็นห้องถ่ายทอดสด (มีทั้งหมด 6 ห้อง)
- เปิดงานด้วย คุณสรรเสริญ สมัยสุต จาก AXONS
- ตามด้วยการ Pitch หัวข้อต่างๆ จากผู้พูดที่แปะหัวข้อตัวเองไว้บนบอร์ด
- ลงไปถ่ายภาพหมู่ตรงบันไดกว้างๆ ที่เดินขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง
- และเริ่มเลือกห้องที่จะเข้าฟังได้เลย
10:00 น. เข้าห้องมาตรงเวลา แต่มีปัญหา ได้ยินเสียงจากห้องอื่น ซึ่งเหมือนจะเป็นกันอยู่สามห้องคือ 1–3 แต่พอแจ้ง Staff ไปแล้ว ก็ได้รับการแก้ไขภายใน 5 นาที สุดยอดมากค่ะ
10:04 น. Agile Zoo — How to work with different kinds of people — Peach, PALO IT
The dangerous animals of product management
ZEBRA — Zero Evidence but Really Arrogant ไม่มีหลักฐานแต่หยิ่งจริงๆ
เวลาพูดอะไรไปไม่ค่อยฟัง พยายามบอกความคิดเห็นของตัวเอง มั่นใจในตัวเอง เสียงดัง
- ถ้าเขามีข้อมูลไม่เพียงพอ หรือ ไม่ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน ก็ให้เอาข้อมูลมากางแล้วคุยกัน เปลี่ยนให้เขาเป็น data-driven zebra เอาเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้ง work/research/process ทำการทดลองที่รวดเร็ว/ง่าย/ราคาถูก เพื่อเอาผลการทดลองมาดูกัน
- ฟังเขาเยอะๆ เพื่อทำความเข้าใจ หา common ground ถาม เพื่อให้เข้าใจเขา ให้เขาคิดทบทวนความคิด และอย่าลืมว่า เราก็อาจจะเป็น zebra ในสายตาคนอื่นเช่นกัน
- อย่าโจมตีตัวบุคคล
HIPPO — Highest-paid person’s opinion
ความคิดเห็นของคนที่อยู่ในสถานะสูงกว่า หรือมีอะไรบางอย่างเหนือกว่า จะได้ยินคำว่า “พี่ว่า…” เป็นคนที่มีประสบการณ์ และมีพลังอำนาจมากกว่าเรา “เชื่อพี่เถอะ พี่อยู่ในวงการนี้มามากกว่า x ปีแล้ว” อาจจะยัดเยียดความคิดให้เรา ซึ่งโดยปกติแล้ว คนเรา ก็มักจะคล้อยตามคนที่มีอำนาจมากกว่าเรา
ก่อนอื่น เราควรจะ make sure ว่าองค์กรเรามี culture ที่
- Psychological safety ไม่มีไอเดียไหนที่แย่ ไอเดียที่แย่ คือไอเดียที่ไม่ได้พูดออกมา
- Constructive feedback องค์กรที่สามารถให้ feedback กันและกันได้ ลูกน้องก็ให้ feedback หัวหน้าได้
- Growth mindset — culture แห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
RHINO — Really High-value New Opportunity
“กระแสกำลังมา ขอเพิ่มอันนี้ไปด้วยได้ป่าว” ทำให้ทีมมีของใหม่ตลอดเวลา
- เขาอาจจะ focus short term gain ให้เรา make sure ว่า product มี goal ที่ชัด และได้รับการสื่อสารให้ทุกคนรู้
- เขาอาจจะ focus specific more on a specific group of user เวลาที่ได้ feedback มา อาจจะได้มาจากคนไม่กี่คน อย่าลืม focus on user research รับ feedback เป็นสิ่งดี แต่ต้อง validate มันเสมอ
- เขาอาจจะ say no ไม่เป็น หรือ lack of prioritization ก็ลองทำ matrix ตีตารางเรื่องของ Impact เทียบ Effort ออกมาดู เพื่อทำการ prioritize (MosCoW)
WOLF — Working On the Latest Fire
“ถ้าไม่ทำตอนนี้แย่แน่ๆ เลย” แต่ก็ไม่ทำอยู่ดี
- Technical debt, defects ที่มันกองๆ อยู่ ให้หยิบมันมาแก้เป็นประจำ แบ่งเวลาให้แก้สิ่งพวกนี้ไปเลย เช่น 20% เพราะว่า ยิ่งแก้ช้า ยิ่งใช้ effort เยอะ ก็ยิ่งแพง
- อย่ามัวมารอ UAT phase (ใน Waterfall) ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่แรกๆ อย่าให้ลูกค้าเห็นงานเราตอน UAT ครั้งแรก
10:35 น. ปล่อยให้ทีมโตทำยังไง Team Hierachy of need — Chris, Thoughtworks
เราทำให้ทีมไม่โต โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?
The high-performing team look like?
- Collaborate well?
- Safe space?
- Deliver as promised?
- Manage expectation?
- Take the initiative?
Etc.
แต่ละคนก็มีคำนิยามของตัวเอง
First playbook: create safe space and great culture
ซึ่งทีมที่เจอส่วนมาก ก็จะตีกันตายอยู่แล้ว
Second playbook: let’s help team and set examples (leader not manager)
ซึ่งพอเตรียมทำให้เต็มที่ ก็เจออีกสำนักของ Simon sinek ที่บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ หัวหน้า ต้องให้พวกเขาทำงานด้วยตัวเองให้ได้
Third playbook: How to manage project well?
PMI, Scrum, Kanban, XP และอื่นๆ อีกมากมาย
พอเข้าไปจริง… ทีมมัน rigid (เข้มงวด) management ขนาดนี้ไม่ได้หรอก
แต่เราก็ต้องการ autonomy, mastery, purpose
จากประสบการณ์ของคุณ Chris — 2 categories of good leader
- The one who can get the best out of talented group of people: inspired ดึงความสามารถของคน high talent — คนดีอยู่แล้ว ส่งเข้าไปแล้วเพิ่มขีดพลังความสามารถ
- เข้าไปดับไฟ ช่วยไปวาง stucture ช่วยให้ทีมออกจากสถานการณ์ที่เลวร้าย เละเทะ ค่อนข้าง rigid กว่า
ทุกคนมี playbook ของตัวเอง
ทีมที่ดีเป็นยังไง เรามีภาพต่างกัน
แต่ละทีม แต่ละ stage มีของที่แตกต่างกันอยู่
เงินซื้อความสุขไม่ได้ จริงหรือ?
- ถ้าเราไปถามคนไม่มีเงิน เงินก็จะซื้อได้
- ถ้าเราไปถามคนมีเงินมากแล้ว เงินก็จะซื้อไม่ได้
อิงจาก Maslow’s hierarchy needs (Tools ใหม่ที่ได้เห็นวันนี้ https://excalidraw.com/) เอามาปรับเข้ากับเรื่องราวของทีมและ Leader (หรือ Manager)
Team level 1: Survival
- need to survive as a team → Contract, Employment, Have a job, not breaking apart.
- Leader ที่ดี คือช่วยงานทีม ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ช่วยเค้าเข็น ช่วยดับไฟ เพื่อให้รอด
Team level 2: Safety
- Need of consistency การันตีได้อย่างน้อยระดับหนึ่งว่าจะทำแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ ทีมสามารถส่งงานได้ตามเวลา เริ่มมีความทนทาน มีคนลาออกก็ยังอยู่ได้ มี process บางอย่าง เพื่อให้มั่นใจว่าจะ deliver งานได้ตามสัญญาเรื่อยๆ
- Leader ที่เก่งคือ วาง process
- สิ่งสำคัญคือการ transition ตัว Leader ต้องหยุดการเข้าไปช่วยงาน ดึงตัวเองไปคุยเรื่อง process, meeting cadence, methodology ต่างๆ
- Leader ต้องโตก่อนทีม ถ้าทีมทำได้เองแล้ว ไม่ต้องไปช่วยเขียนโค้ดแล้ว
- Leader ที่เก่งด้าน process แต่พยายามไปวางให้กับ level 1 ก็ไม่ช่วยอะไร ไปช่วยทีมดับไฟก่อน ถ้า leader ช่วยเองไม่ได้ ก็ไปหาคนมาช่วยให้ทีมรอดก่อน
Team level 3: Belonging
- Need of belonging and value to the external teams/humans ทีมจะเริ่ม deliver ได้อย่างคงที่ มี process ระดับหนึ่งแล้ว ต้องการพิสูจน์ตัวเองในสังคมของเขา
- Leader ที่เก่งตรงนี้คือ ออกไปคุยกับ sponsors, stakeholders เพื่อให้พวกเขาเห็น value ของทีม ถ้าไปเร็วไป ก็เหมือนจะไปโม้ (แต่ทำไม่ได้จริง)
- Transition ของ leader เปลี่ยนจาก structure provider เป็น influence กับคนภายนอก ต้องปล่อยมือจากการ design process แล้ว เป็นจุดที่ทีม รู้แล้วว่า process ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาคืออะไร
- Leader ต้องออกไป influence กับคนภายนอก และคอย Mentor ทีม ถ้าทีมติดปัญหาเรื่อง process ใดๆ
- เช่นเคย ที่ Leader ต้องนำหน้าทีมไปหนึ่งขั้นเสมอ
Team level 4: Esteem
- ทีมสร้าง identity ของตัวเองแล้ว
- Leader จะเป็น inspiration สร้างแรงบันดาลใจ
- Transition คือทีม set direction goal เองแล้ว จัดการ client relationship เองแล้ว Leader ทำเรื่อง manage culture/identity/purpose
- การ emphasize culture เร็วเกินไป stakeholders อาจไม่ได้สนใจ culture เรา เพราะงานที่บอกให้ทำยังส่งมอบไม่ได้เลย
แต่ๆ เวลาสร้างทีมใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ดี ที่จะสร้าง 4 levels ทั้งหมดที่กล่าวมา ตั้งแต่ต้น
Team level 5: Actualisation
คุณ Chris ยังไม่เคยไปถึง เลยไม่รู้จะพูดอะไร (ขำ 55 แต่เอาจริงๆ กว่าจะเปลี่ยนจาก level 1 ไป level 4 ได้นี่ ต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน?)
ในสองหัวข้อด้านล่างนี้ ขออนุญาตข้ามเนื้อหาไป ไม่ได้จด เพราะฟังเพลิน ฟังกี่รอบแล้วก็ยังฟังเพลินอยู่ (เอ้า ได้เหรอ)
11:00 น. Agile software project management ในชีวิตจริง กรณีศึกษาโครงการของรัฐบาล — พี่หนุ่ม ประธาน, สยามชำนาญกิจ
12:00 น. Fixing your own scrum — ลด ละ เลิก ใช้ story point ประเมิน ประมาณการ เพราะมันไม่ช่วยอะไรเลย — พี่หนุ่ม ประธาน, สยามชำนาญกิจ
ซึ่งทั้ง 2 Sessions ของพี่หนุ่ม ได้มีการแจก Ticket เข้าร่วมอบรมฟรี จากมูลค่าปกติ 5,000 บาท ถ้าจ่ายเอง และ 10,000 บาท ถ้าบริษัทจ่ายให้
จำนวนสอง Workshops คือ
- Fixing Your Own Scrum the Series — Product Backlog Refinement Workshop รุ่น 4
- Agile Software Project Management ในชีวิตจริง
** Workshop ละ 20 คน first come first serve (ใครดีใครได้) วัดกันที่ความเร็ว internet และความเร็วในการกรอกข้อมูลผ่านฟอร์มล้วนๆ
พักเบรกตอนบ่ายโมง
ออกมารับข้าวกล่อง (ที่ลืมถ่ายรูป) ไอติม (จากร้านที่อยู่ตรงหน้า เฝอ ววญ) ป๊อบคอร์น และน้ำดื่มใส่แก้ว (มีน้ำแข็งให้ด้วย) น้ำอัดลมก็มีนะ ตอนบ่าย เบียร์ ก็มีด้วยเช่นกัน
จากนั้นก็มีการ Pitch หัวข้อตอนบ่ายกันอีกรอบ
14:00 น. How to adopt Agile into the World of Business — Kung, KBANK
World business group ของ KBANK เปลี่ยนหน่วยงานธุรกิจมาใช้ Agile
A journey not a destination
ในธุรกิจเอา Agile มาใช้ แล้วหน้าตาเป็นยังไง เป็นระดับ Agile Transformation เลย
ติดตั้งตู้ ATM ที่ สปป.ลาว เวียงจันทน์
- หน้าตาเป็นแบบไหน เทคโนโลยีที่จะเอาไปใช้ location ที่จะเอาไปวาง
- ต้องใช้หลายภาคส่วนในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ เลยเริ่มเอา Agile มาใช้
- ชวนพี่หนุ่ม ประธานไปช่วย set up ในปีแรก
- การทำงานรูปแบบ Agile = Success รู้จักหน้าตาเป็นยังไง
- แต่ Project Fail เพราะไม่สามารถตั้งได้ 30 เครื่องอย่างที่ต้องการ
- Fail ตั้งแต่หาเครื่อง ATM เพราะทุกอย่างเกิน budget
- แต่ผู้บริหารรู้สึกว่า success เพราะปัญหาเอาขึ้นมาบนโต๊ะตั้งแต่แรก
- และพบว่าปัญหาคือ ตัวเขาเอง ที่ยังมองเป็น Hierachy อยู่
ในปี 4 Jan 2021 ผู้บริหารมีความใจกล้าในการเปลี่ยน ตัดสินใจ reorganization structure — สายงานทั้งสายงานของธุรกิจต่างประเทศ ต้องทำงานแบบ Agile
ในปัจจุบัน ปี 2023 ก็ยังทำงานในรูปแบบ Agile อยู่
6 Tribes, 34 squads
ทุกสายงานใน World business group กลายเป็น squads ในหลายๆ ประเทศ แบ่งเป็น 6 tribes และแยกตามความดุเดือดของการแข่งขัน
- Aggressive play
- Mass acquisition play
- Disruptive play
อย่างแรกที่ทำคือ ปรับโครงสร้างองค์กรก่อน
- จาก department ที่มี r&r ชัดเจน เปลี่ยนเป็น skill based (chapter) มี skill อะไรบ้างที่เราต้องการใช้
- และไปชวนเพื่อนมาด้วย ในที่นี่คือ risk management ก็ต้องไปอ้อนวอนให้เค้ามาเป็น chapter เหมือนเราด้วย
- ด้าน IT มี KBTG ที่ทำงานแบบ agile อยู่แล้ว ก็ต้องเอาเข้ามา involved
- เวลาทำงานจริง จะถูก assign เข้า squads โดยดูจาก mission, goal เพื่อให้ achieve goal นั้น เราต้องการคนที่มี skill แบบไหน
Key success factors:
skill แบ่งออกด้วย matrix for capabilities development
- Novice — beginner
- Competent
- Proficient
- Master
ในแต่ละ squads ต้องการ skill อะไร และต้องการ level ไหน Control tower ตรงกลาง จะเห็นภาพใหญ่ตรงนี้หมดเลย
- จำนวนคนน้อย ทำยังไงให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
- จำนวนคนที่เพียงพอ เหมาะสม ถึงจะเกิด squads ได้
- ถ้าคนไม่พอ ก็เป็นหน้าที่ทีม strategy ในการหาคน/หาเงิน
4 Jan 2021 ประกาศปุ๊บ เริ่มทำงานเป็น Agile ทันที พนง. รู้วันนั้นเลย ทำการ kick off ผ่าน MS team สามสิบกว่าทีม
- 90 วันผ่านไป ก็มารีวิวกัน มีดีอยู่สองข้อ ที่เหลือไม่มีอะไรดีเลย
- ผู้บริหารต้องแน่วแน่มากว่าจะเปลี่ยน แม้จะมีการบ่นจาก พนง. ก็ยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนรูปแบบ
- เคยเจอ 1 คน อยู่ 5 squads ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากประชุม บางทีก็เข้าประชุมซ้อนสาม ก็ต้องหา system ให้มาคุยกับ chapter lead เพราะคนนี้คือคน assign คนเข้า squads
แบ่ง Member ออกเป็นสองรูปแบบ
- Core member
- Support member รูปแบบไหน ก็ต้องกำหนดให้ชัดเจน
และเราต้องหาคนด้วย (งาน recruit ต้องมา) และสื่อสารให้เยอะๆ ว่า agile คืออะไร (communication ต้องมี) และหา small success
สื่อสารไปก็ได้ระดับหนึ่ง ก็จะมีเสียงบ่นตลอด ก็ทำ survey เรื่องพวกนี้ตลอดมา
Quarterly business review
- เชิญกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานมาดูว่า 90 วันที่ผ่านมาเป็นยังไง 90 วันต่อไป จะเป็นยังไง
- เชิญมานั่ง discuss กันแบบห่างๆ (ยังเป็นช่วง covid)
- มีการ prioritize project
- ถ้า HQ อาจจะมีการดึงลง แต่ของเราดึงลงไม่ได้ ก็ต้องมานั่งดูว่า จะหา resource ตรงไหนไปเติมได้ อันไหนชะลอได้
Level-up agile in regional business
- Leader ต้องเข้าใจ มีความเป็น owner ของ squad ที่ตัวเองดูแล
- ผู้บริหารระดับสูงมารับเป้าด้วยกัน เป็นราย squad
- Sponsor ที่เคย check-in ทุก 2 สัปดาห์ (คล้ายกับ Sprint review) กลายเป็นอยาก check-in ทุกวัน
- ปัจจุบัน ล่าสุดเพิ่ง launch debit card ออกไปที่เวียดนาม ผ่านไปหนึ่งวัน ก็ถามว่าได้กี่ใบแล้ว (ซึ่งยังไม่ได้ส่งการ์ดออกไปเลยค่า)
สิ่งที่กลัว leader จะไม่ buy กลายเป็นว่าเค้า buy มากกว่าพนักงานอีก เพราะเค้าเจอปัญหาแต่แรก และจัดการแก้ไขได้รวดเร็วขึ้น
Capabilities and mindset
- เนื่องจาก squads มีขนาดเล็ก ก็ต้องเพิ่มทักษะ อัด training เพื่อให้เก่งขึ้น
- พอทำงานกันเป็น squads (น้องรุ่นใหม่) แม้งานตัวเองจะเสร็จแล้ว ก็จะถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม เพื่อวิ่งไปหาเป้าเดียวกัน
- แต่ทำยังไงที่เราจะจัดการคนรุ่นเดิมให้เข้าใจการทำงานแบบนี้ด้วย
การประเมินผลงานเป็น bell-curve ไม่ encourage ให้คนทำงานไปด้วยกัน ก็เลยเปลี่ยนรูปแบบผลการประเมินงาน และ change management
- ปัจจุบันผ่านมาสองปีแล้วก็ยังมีการสื่อสารตลอด พูดตลอด เพราะคนเราพร้อมกลับไปทำแบบเดิม
- และเรายังมีคนเดิมๆ ที่สองปียังเปลี่ยนไม่ได้ในทันที ทำยังไงให้เค้าเห็นผลดีของการเปลี่ยน ก็ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ
Performance วัดตาม squads
แต่ถ้าคนนี้บังเอิญไปอยู่ใน squad ที่ดีเยี่ยม กับ squad ที่ผลลัพธ์ออกมากากล่ะ?
- Leader จะรู้อยู่แล้วว่าคนนี้อยู่ที่ไหน
- 36 squads จะมีทั้งยากและง่าย ถ้าอันไหนยาก จะมีตัวคูณพิเศษให้
- พนง. จะได้ตาม contribution
- ถ้า squads นั้นแย่ จะไปด้วยกันหมดทั้งทีม
- Chapter มี power ในการ assign คน
- Squad captain (squad lead หรือ PO) เป็นคน evaluate member อีกที เป็นรายคน
- จากนั้นจะ calibrate ภาพรวม แล้วดูรายบุคคลอีกที
- หาก พนง. ทำงานดี แต่บังเอิญ ผลลัพธ์ของ squad ที่อยู่ออกมาแย่ chapter lead และผู้บริหาร สามารถดึงขึ้นได้หนึ่ง level
Challenge สำคัญอยู่ที่ leader
- ผู้บริหารตอนนี้ พยายามกลั้นใจตัวเอง แล้วเดินกลับไปคุยกับบอร์ด ว่ายังไม่ทำ แล้วก็โดนบอร์ดด่ากลับมา
- พอเห็นว่าสิ่งที่มีเป็นยังไง ก็จัดการได้ตั้งแต่ early stage
14:32 น. Effective meetings — How to gain working time back from attending meetings all days — Mike, Product Builder
เข้า Meeting เจอปัญหาอะไรบ้าง
- ไม่ได้ข้อสรุป
- ไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อ
- มาสาย เลิกช้า
- เกินเวลา / time respect
- เข้าไปแล้วไม่รู้ทำอะไร
- มีตติ้งทั้งวัน ไม่ได้ทำงาน
- แย่งกันพูด (เยาวราช)
ก่อนส่งนัด
- เรื่องต่างๆ ปัญหาต่างๆ ส่วนใหญ่ แค่โทรคุย หรือส่งอีเมลออก ก็สามารถจบเรื่องได้
- คิดให้ดีว่า จำเป็นต้องมีประชุมมั้ย ต้องคุยกันแบบพร้อมหน้าใช่ไหม
วางแผนประชุม
- นัดประชุมให้สั้นลงเช่น 30 นาที แทนที่จะเป็น 60 นาที
- คิด agenda ให้เคลียร์ ไม่ใช่แค่จะคุยหัวข้ออะไร แต่เป้าหมายของการคุยแต่ละเรื่องคืออะไร
- ส่งออก agenda ว่าจะคุยอะไรกันบ้าง ใครต้องเตรียมอะไร ใครต้องพูดอะไร
- ระบุว่าใคร required, optional
- ถ้าเน้นสร้างความสัมพันธ์หรือความคิดสร้างสรรค์ คุยนอกห้องประชุม นอกออฟฟิศ หรือ walk the talk
- วางแผนให้ดีว่าจะรัน meeting ยังไง จะเฟรมการสื่อสารยังไงให้ได้สิ่งที่เราแพลนไว้
- มีอะไรที่ต้องไปคุยนอกรอบ หรือทำให้เสร็จก่อน meeting บ้าง
- คิดไว้ก่อนเลยว่าอยากได้อะไร และร่าง next steps ไว้ก่อนเลย
คนเข้าประชุม
- ใครเข้าร่วมไม่ได้ ต้องกด decline หรือทักมาบอกคนจัด
- หรือถามว่า meeting นี้เราคุยอะไรกัน จะตัดสินใจเรื่องอะไร outcome คืออะไร เราจะได้เตรียมตัว
Facilitate meeting
ไม่ได้มีแค่ส่ง invite และสรุป แต่ต้องทำให้เป็นตาม goals ที่เราต้องการ ถ้ามันไม่ตรง เราต้องจัดการอะไรบางอย่าง
- เริ่มด้วย objective / outcome
- Context ของ meeting ว่าทำไมต้องจัด
- Facilitate ในแต่ละหัวข้อ ถ้าต้องการความเห็นใคร ให้ถามเลย
- คิดตาม อย่าลืม big picture, end goal
- ถามเพื่อให้เข้าใจวิธีคิด เวลามีคนไม่เห็นด้วย หรือเสนอสิ่งที่เราไม่เข้าใจ
- ถ้ามีคนนอกประเด็น ถึงจะสำคัญ ให้ถามว่า จะนัดอีก meeting ดีหรือเปล่า
- ถ้าเริ่มนานเกิน ให้บอกว่า ตอนนี้มีเวลาอีก y นาที ขอใช้เวลาอีก x นาที ในการคุยเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้ meeting late
- สรุปสิ่งที่คุยกันในที่ประชุม และ next step ว่าใครทำอะไร เมื่อไหร่
- ถ้ามี comment ที่เพิ่มจาก summary / next steps ที่เตรียมไว้ อย่าลืม mention ด้วย
- Meeting ที่ดี ควรจบตรง หรือก่อนเวลา
Meeting คือ cost
Cost คือ เวลาของทุกคนที่มาเข้าร่วม
ถ้ามีคนไม่เห็นด้วยกับเราใน meeting ทำยังไงดี
- อธิบาย context ที่มาที่ไป และ why
- ฟัง และพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมอีกฝั่งถึงคิดแบบนั้น (ไม่ต้องรีบตอบ เพราะอีกฝ่ายจะรู้สีกว่าเราเถียง หรือไม่ฟัง)
- แสดงออกว่าคุณเข้าใจปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเขา
- ถามเพื่อหาให้เจอว่า สิ่งที่อีกฝั่งกังวลจริงๆ จุดที่เขาไม่เห็นด้วย ต้นตอของปัญหาจริงๆ คืออะไร — ติดอะไร ประเด็นคืออะไร
- ขอคุยกันนอกรอบ
- แสดงสิ่งที่อยู่ใน list ทั้งหมด (backlog) เพื่อให้เขาเห็นว่า มีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าจริงๆ ที่ต้องทำ
- อะไรให้ได้ หรือ ยอมอะไรได้
- อธิบายว่าคุณเข้าใจสิ่งที่อีกฝั่งกังวล และด้วยข้อจำกัดและข้อมูล ทำให้คุณตัดสินใจแบบนี้ ทำให้คนอื่นรู้สึก คุณตัดสินใจในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบริษัทและลูกค้า ไม่ใช่ เพราะนี่คือสิ่งที่คุณจะเอา
- จะรีบทำให้ ทีหลัง (ระบุเวลา)
ระวังคำพูด
โอเค เห็นด้วย ได้ครับ
เรามีเขียน (แปล) บทความไว้อยู่ น่าจะช่วยเสริมเนื้อหา Session นี้ได้เช่นกัน >> ออกแบบวาระการประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ
15:00 น. Scrum — พี่รูฟ, ODDS
เป็น Session ที่ฮอตฮิตมาก นั่งก็เต็ม นี่ยืนฟังอยู่หลังห้อง คนก็จะล้นห้องอีก จนต้องถ่ายทอดไปที่อีกห้อง (ได้ข่าวว่าอีกห้องว่าง แต่เพิ่งมารู้ทีหลัง 55)
Be public. Be easy to follow! There is no movement without the first follower. We’re told we all need to be leaders, but that would be really ineffective. The best way to make a movement, if you really care, is to follow and show others how to follow courageously. When you find a lone nut doing something great, have the guts to be the first person to stand up and join in.
The Five Scrum Values
ประมาณ 16:00 น. ก็มาพร้อมเพรียงกันที่ห้อง 2 (ผ่านการโดนต้อน โดนเรียกแล้ว) ให้มาเล่นกิจกรรมส่งท้ายชิงของรางวัล ผ่านการตอบคำถาม 5 ข้อ และให้ Feedback ผ่าน mentimeter
คำถามจำได้แม่นเลย ที่จำแม่นเพราะมันวัดดวงชัดๆ (อาจจะจำสลับลำดับหัวข้อ เพราะตอนนั้นก็ตื่นเต้นกับคำถามอยู่ 55)
- ใน agile manifesto มีคนยืนอยู่หน้ากระดานกี่คน = 8
- Session ตอนเช้าทั้งหมดมีเท่าไหร่ = 24
- Theme งานครั้งนี้ มาจาก Agile principles ข้อไหน = 4
- ไอติมที่เอามาแจกทั้งหมดมีกี่รสชาติ = 10
- เสื้อที่ได้รับปีนี้มีหัวใจกี่ดวง = 2.5
สิ่งที่ชอบ:
- การสื่อสารผ่านกลุ่มไลน์ยังดีเหมือนเดิม
- สถานที่จัดงานกว้างขวาง ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด ห้อง Breakout room ดี มีปัญหาระบบเสียงเล็กน้อยแต่ก็แก้ไขได้อยู่ จอใหญ่บิ๊กบึ้ม เห็นชัด มีไมค์ทุกห้อง (แก้ปัญหาจากปีที่แล้วได้ดีเลยในจุดนี้) ห้องน้ำสะอาด แอร์เย็นจนหนาว (แต่บางห้องก็ร้อน -_-) คุณพ่อบ้านแม่บ้านมาคอยเก็บขยะตลอดเวลา สะอาดมาก
- การถ่ายทอดสดจากห้องหลัก เช่นตอนเปิดงานก็ถ่ายออกมาจากห้อง 2
- อาหาร/เครื่องดื่มจากสปอนเซอร์จัดเต็มมาก ขาดคาเฟอีนก็เดินไปซื้อเองได้ในโซนใกล้ๆ
- ตรงต่อเวลาดี มี Staff บอกเวลาหลังห้อง
- Photo Booth ยังคงเป็นกิจกรรมที่น่ารักเสมอ ตลอดไป
สิ่งที่รู้สึกว่าดีขึ้นได้อีก:
- สื่อสารล่วงหน้านิดหนึ่งเกี่ยวกับ Agenda ของวันงาน มาบอกตอนห้าทุ่ม ตื่นมาตอนเช้าเพิ่งมาเห็นแล้วมันเลิ่กลั่กมาก
- สถานที่จัดงานก็ค่อนข้างไกลทีเดียว เป็นอะไรที่ไกลบ้านมาก ถ้าพอมีแถวใจกลางเมืองน่าจะเหนื่อยน้อยกว่านี้
- ปีที่แล้วเสียงไมค์ส่วนกลางดังทะลุหู ปีนี้ก็กลายเป็นเบาไป ฟังไม่รู้เรื่อง (เพราะผู้เข้าร่วมงานก็เม้าท์มอยกันหนักหน่วงด้วย Noise เยอะมากทีเดียว)
ขอบคุณ Staff ที่ช่วยกันจัดงาน Drive Community นี้เช่นเคย ขอบคุณ Sponsors ทั้งสถานที่ อาหารการกิน ขนม น้ำและของแจกมากมาย ขอบคุณเหล่าผู้พูดที่มาแชร์ความรู้แบบไม่อั้นด้วยค่ะ
ปล. พี่ปอมบอกตอนท้ายว่า ถ้าชอบงานแบบนี้ อยากให้มีต่อ ให้มาช่วยจัด เพราะเหนื่อย 55 นี่เลยคิดว่า ถ้ามีเวลาว่างพอจะไปช่วยจัดละ ใช้ Skill ที่เคยเป็น Organizer จัดงาน Techsauce Global Summit มาหลายปี มาปัดฝุ่นซะหน่อย เลยกด join discord เข้าไปแล้ว ขอไปส่องก่อน
Agile66 Discord https://discord.gg/6hXkUcT4
Note to me:
การ(ถูก)ฝึก(หนัก) กับ สยามชำนาญกิจ ในช่วงเกือบ 10 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เราในเดือน Aug 2022 และ เราในเดือน Jun 2023 มีความแตกต่างเรื่องความรู้ในวงการนี้อย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะ อืมมม