#priwreadbooks Sapiens เซเปียนส์ ประวัติศาสตร์ฉบับกราฟิก (II: เสาหลักแห่งอารยธรรม)
#ยิปซี Yuval Noah Harari เขียน ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ แปล
เล่มนี้เป็นภาคต่อจาก เซเปียนส์ ประวัติศาสตร์ฉบับกราฟิก (I: กำเนิดมนุษยชาติ)
บอกเล่าเรื่องราวว่า “โฮโมเซเปียนส์” เปลี่ยนจากชนเผ่าเร่ร่อนกลายเป็นผู้ตั้งรกราก และเริ่มต้นทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เคยมีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นการตอบแทน มาหาคำตอบกันว่า ข้าวสาลีขึ้นครองโลกได้อย่างไร การสมรสที่ไม่น่าเป็นไปได้ระหว่างพระเจ้ากับข้าราชการ สร้างจักรวรรดิแรกขึ้นได้อย่างไร สงคราม ความอดอยาก โรคภัย ความไม่เท่าเทียม ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะแวดล้อมของมนุษย์ได้อย่างไร และเหตุใดผู้ที่เราอาจจะตำหนิได้ก็มีแต่ตัวพวกเราเอง
‘อยากรู้ความจริงหรอ? สัจธรรมก็คือ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ผู้คนไม่เคยพอใจ และอัตลักษณ์ทุกอย่างล้วนแต่งขึ้น’
เล่มนี้จะพูดหลักๆ อยู่ 4 ประเด็นได้แก่
การปฏิวัติเกษตรกรรมคือสิ่งที่เลวร้ายและผิดพลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ?
การปฏิวัติเกษตรกรรมไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปุบปับครั้งเดียว เกี่ยวข้องกับคนและพืชมากกว่า 1 ชนิด เป็นกระบวนการที่ยาวนานนับพันพันปี อันที่จริงการเกษตรเกิดขึ้นอย่างอิสระในส่วนต่างๆ ของโลก แต่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกที่ เช่นในออสเตรเลียแอฟริกาใต้ หรือ Alaska ไม่มีพืชหรือสัตว์ที่เหมาะกับการปลูกหรือเลี้ยง
ก่อนการปฏิวัติเกษตรกรรม เมล็ดพืชเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในอาหารของโฮโมเซเปียนส์ มนุษย์เป็นสัตว์ที่กินอาหารสารพัดอย่าง
อาหารพวกเมล็ดพืชให้วิตามินและแร่ธาตุต่ำ แถมย่อยยากและทำลายฟันกับเหงือกด้วย ข้าวสาลีจึงไม่ได้เป็นอาหารที่ดีและแน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้ความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากขึ้น
เพราะข้อจำกัดที่คาดเดาไม่ได้ของข้าวสาลี ชีวิตของชาวนาจึงไม่ได้มั่นคงไปกว่าพรานหาของป่าเลย พวกหาของป่า กินอาหารหลากหลาย ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีอาหารสำรอง หากขาดอาหารชนิดใดไปบ้างก็แค่ล่าชนิดใหม่แทน จนเมื่อเร็วๆ นี้เอง แหล่งพลังงานแทบทั้งหมดของชาวนาล้วนมาจากพืชไม่กี่ชนิด หลายแห่งมากมีอาหารหลักเพียงอย่างเดียว ไม่ข้าวสาลี ก็มันฝรั่ง หรือข้าว หากฝนไม่ตกหรือฝูงตั๊กแตนลง หรือพืชขึ้นรา ชาวนาก็อาจตายนับพันหรือแม้แต่นับล้านคน
นอกจากนี้ชาวนาในหมู่บ้านที่อยู่กันหนาแน่น เลี้ยงสัตว์เยอะแยะ และมีของเสียอยู่มาก ไวรัสแพร่จากไก่มายังคน แล้วทั้งหมู่บ้านก็อาจตายหมดได้ การเกษตรไม่เพียงทำให้เกิดโรคระบาดมากขึ้น แต่ยังทำให้โรครุนแรงมากขึ้นด้วย
ทุกชั่วรุ่นมีความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยทีละนิด เวลาผ่านไปการเปลี่ยนแปลงเล็กๆมากมายก็รวมกันเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่
กลุ่มคนที่เปลี่ยนไปทำฟาร์มเพิ่มแบบก้าวกระโดดและแพร่กระจายไปทั่วโลก พวกหาของป่าที่ไม่หลงกลก็ต้องทิ้งทุ่งล่าสัตว์ให้กลายเป็นทุ่งนาและทุ่งเลี้ยงสัตว์หรือไม่ก็เริ่มไถพรวนด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน วิถีชีวิตเก่าๆ ก็พังทลาย
การปฏิวัติเกษตรกรรมให้บทเรียนสำคัญเรื่องหนึ่งแก่เรา การที่มนุษยชาติค้นหาชีวิตที่สบายขึ้น ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกแบบที่ไม่มีใครคาดหวังหรือต้องการ ไม่มีใครวางแผนเรื่องการปฏิวัติเกษตรกรรม หรือตั้งใจให้มนุษย์พึ่งพาเมล็ดพืชที่ปลูก การตัดสินใจเพียงเล็กๆ เรื่องปากท้องและความปลอดภัยของคนไม่กี่คน ส่งผลให้คนรุ่นก่อนต้องทำงานหนักอย่างจำเจไม่รู้จบ
เจาะลึกอารยธรรมของมนุษย์ บาบิโลน(กฎหมายฮัมมูราบี) และคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา
งานวิจัยชีววิทยาแสดงให้เห็นว่า แต่ละคนมีความแตกต่างของรหัสพันธุกรรมที่ยากเข้าใจ และตั้งแต่เราเกิด เราก็ยังได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมของเราที่แตกต่างกันด้วย ทั้งหมดนี้กลายมาเป็นลักษณะต่างๆ ของเราที่ถูกพัฒนาและมีส่วนช่วยทำให้เราอยู่รอดได้
ชีววิทยายังไม่ยอมรับแนวคิดที่ว่า มนุษย์ล้วนถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า วิวัฒนาการไม่มีจุดประสงค์พิเศษใด มันแค่เป็นกระบวนการที่มืดบอดนำไปสู่การเกิดขึ้นของคนแต่ละคนที่แตกต่างกัน
นกไม่ได้บินเพราะมีสิทธิ์ แต่พวกมันมีปีก และไม่จริงด้วยที่ว่าอวัยวะความสามารถและลักษณะต่างๆ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ มีมากทีเดียวที่สิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและในที่สุดก็หายไป อย่างนกกระจอกเทศที่สูญเสียความสามารถในการบิน
เสรีภาพเป็นแนวคิดทางการเมืองมากกว่าปรากฏการณ์ทางชีววิทยา เราทุกคนต่างเชื่อในระเบียบแบบแผนในจินตนาการบางอย่าง ไม่ใช่เพราะมันถูกต้องเป็นจริง แต่มันช่วยให้เราร่วมมือกันและทำให้สังคมดีขึ้น
เซเปียนส์ ทำงานหนักเพื่อให้แบบแผนตามจินตนาการยังใช้การได้ ต้องมีการระวัง ป้องกันแบบแผนตามจินตนาการตลอด และบ่อยครั้งก็มีการใช้มาตรการรุนแรง กองทัพ ตำรวจ การสอบสวน และคุมขัง ทำงานตลอดเวลาเพื่อบังคับให้คนเชื่อฟังแบบแผนตามจินตนาการ ที่น่าขันก็คือแม้แต่การปกป้องสิทธิมนุษยชนบางครั้งก็ต้องใช้ความรุนแรง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นพันๆ ปี แล้วหากชาวบาบิโลเนียนโบราณทำให้เพื่อนบ้านตาบอด ก็ต้องใช้ความรุนแรงบังคับตามกฎ ตาต่อตา
การจะรักษาแบบแผนตามจินตนาการให้ได้นั้นต้องการมากกว่าแค่ความรุนแรงและการขู่เข็ญ แต่ต้องมีคนเชื่อถือมันจริงๆ ศาสนาคริสต์ไม่มีทางยืนยาวถึง 2,000 ปีแน่หากไม่มีผู้นำส่วนหนึ่งที่เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจในตำนานของศาสนาคริสต์ หากนายธนาคารและนักลงทุนไม่เชื่อเรื่องทุนนิยมอย่างจริงจัง ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันของเราก็คงพังทลายไปนานแล้ว
คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่ามีแบบแผนตามจินตนาการควบคุมชีวิตตัวเองอยู่ แม้แต่ความต้องการส่วนตัวบ่อยครั้งก็ยังโดนแบบแผนตามจินตนาการกำหนด เช่น ความโรแมนติก ความรักชาติ หรือพวกทุนนิยม คนรุ่นต่างๆ สร้างตำนานทั้งหมดนั้นขึ้น พวกมันไม่ได้เป็นกฎตามธรรมชาติ
อย่างตำนานเรื่องบริโภคนิยมโรแมนติก ทำให้คนอยากใช้เงินเยอะๆ ไปกับการพักผ่อนในสถานที่ไกลๆ ผู้คนทำงานหลายเดือนเพื่อเก็บเงินไปพักผ่อนแบบนี้โดยคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ครอบครัวชิมแปนซีไม่มีการลาหยุดเพื่อไปหาเพื่อนบ้านหรือลาพักร้อน พวกเขาไม่ได้เติมเต็มความต้องการทางชีววิทยา แต่เป็นความต้องการทางวัฒนธรรม ที่เรียกว่าประสบการณ์ แต่พวกเขาเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า นี่เป็นเรื่องธรรมชาติและจำเป็นสำหรับมนุษย์ที่ต้องการประสบการณ์เหล่านี้ การที่พวกเขาเชื่อ ก็เป็นผลจากตำนานบริโภคนิยมและลัทธิโรแมนติกนั่นเอง
ทำไมหลายคนถึงไม่ถูกกับตัวเลข? จุดเริ่มต้นและการพัฒนาของตัวเลขและตัวอักษร
ตำแหน่งบางอย่างในสังคมมนุษย์ก็คล้ายกับตำแหน่งของผึ้งในรัง ยกเว้นแต่กฎในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ถูกเขียนไว้ใน DNA มนุษย์ เราใช้เวลาสอนคนในสังคมของเราอย่างยาวนานมากให้กับคนรุ่นใหม่
นับล้านปีแล้วที่มนุษย์เก็บข้อมูลไว้ในสมองเพียงแห่งเดียว แต่โชคร้ายที่สมองมนุษย์ไม่ใช่ตัวเก็บข้อมูลที่ดีสำหรับฐานข้อมูลระดับจักรวรรดิ สมองมนุษย์ปรับตัวเข้ากับการเก็บและประมวลผลจำนวนไม่ได้
การจะทำได้นั้นพวกเขาต้องคิดหาระบบที่ใช้บันทึกและประมวลผลข้อมูลคณิตศาสตร์จำนวนมาก เมื่อ 5,000 กว่าปีก่อนก็มีพวกสุเมเรียนที่เฉลียวฉลาดบางคนหาวิธีจัดการปัญหาได้ พวกเขาประดิษฐ์ระบบประมวลและเก็บข้อมูลนอกสมองมนุษย์ขึ้นที่ชื่อว่าการเขียน
การที่ระบบจะใช้การได้ พวกเขาต้องใช้วิธีคิดเหมือนเป็นตู้เก็บแฟ้ม ผู้คนซึ่งจัดการลิ้นชักจำเป็นต้องตั้งโปรแกรมใหม่เพื่อให้มนุษย์เริ่มใช้วิธีคิดแบบเสมียนและนักบัญชี
จุดเริ่มต้นของความวายป่วง ที่มาของระบบชนชั้น การแบ่งแยกวรรณะ สีผิวและเพศ
ระบบวรรณะฮินดูที่โด่งดัง คนที่ได้ประโยชน์จากระบบวรรณะก็คือพราหมณ์ ที่อ้างว่าระบบดังกล่าวสร้างขึ้นจากพลังจักรวาล พวกเขาบอกว่า ในตอนเริ่มต้นนั้นจักรวาลมีเพียงสิ่งเดียวคือยักษ์ปุรุษะ จากนั้นเหล่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตัดยักษ์ตนดังกล่าวออกเป็นชิ้นๆ และสร้างจักรวาลทั้งหมดขึ้นจากส่วนต่างๆ ของยักษ์ตนนั้น เหล่าเทพสร้างพระอาทิตย์ขึ้นจากดวงตา สร้างพระจันทร์จากสมอง พราหมณ์เกิดจากส่วนปาก กษัตริย์นักรบเกิดจากแขน ชาวไร่ชาวนาและพ่อค้าเป็นแพศย์ที่เกิดจากต้นขา ศูทรที่เป็นคนรับใช้เกิดจากเท้า ตามตำนานการสร้างโลกมีความแตกต่างระหว่างนักบวชพราหมณ์และคนรับใช้ศูทรเป็นเรื่องสำคัญและเป็นองค์ประกอบอันนิรันดรของจักรวาล ถือเป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนที่พระอาทิตย์ต่างกับพระจันทร์ อารยธรรมมากมายก็มีเรื่องราวคล้ายกันนี้
เรื่องของยักษ์ปุรุษะไม่ได้มีความเป็นวิทยาศาสตร์ เรารู้แล้วในปัจจุบันว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์อายุราว 4.5 พันล้านปี ความแตกต่างระหว่างวรรณะฮินดูย้อนกลับไปได้มากกว่า 3,000 ปี ลำดับชั้นวรรณะไม่เกี่ยวอะไรเลยกับพลังศักดิ์สิทธิ์หรือกฎของธรรมชาติ มันเป็นกฎของมนุษย์ที่ประดิษฐ์ขึ้นที่ทำให้บางคนเป็นเจ้านายและที่เหลือเป็นคนรับใช้
การจะทำให้ระบบมั่นคงและป้องกันวรรณะที่แตกต่างไม่ให้มาปะปนได้ ต้องใส่ส่วนผสมมนตราเข้ากับสูตรทางสังคม นั่นก็คือแนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์และความแปดเปื้อน และมันก็เข้ายึดครองกลไกทางชีววิทยาที่จำเป็นสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์
หากคุณต้องการแยกหรือกดขี่มนุษย์กลุ่มใด วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการโน้มน้าวใจคนอื่นว่าคนพวกนั้นเป็นต้นเหตุของความแปดเปื้อน ซึ่งบ่อยครั้งพวกเขาก็ถูกมองว่าเป็นต้นตอของการเหยียดชาติพันธุ์หรือความไม่บริสุทธิ์ทางศาสนา ไม่ว่าคำเหล่านั้นแปลว่าอะไรก็ตาม
สังคมมีการเพิ่มเติมแนวคิดและบรรทัดฐานทางสังคมชั้นแล้วชั้นเล่าลงบนแก่นความจริงที่เป็นสากล โดยเกี่ยวข้องกับชีววิทยาน้อยมาก สังคมต่างๆ มีลักษณะความเป็นชายและหญิงอยู่ทุกรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีลักษณะทางชีววิทยาที่แน่ชัด
สัจธรรมก็คือทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ผู้คนไม่เคยพอใจและอัตลักษณ์ทุกอย่างล้วนแต่งขึ้น ขึ้นอยู่กับเรื่องราวที่ผู้คนเชื่อถือ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมากมายหลายครั้งในประวัติศาสตร์และจะเปลี่ยนแปลงต่อไปอีกในอนาคต คุณไม่อาจค้นหาสัจธรรมได้ด้วยการฆ่าคนที่ไม่เห็นด้วย
หากคุณต้องการเปลี่ยนแปลงโลก คุณจำเป็นต้องเริ่มจากเรื่องที่สังคมเชื่ออยู่แล้ว จากนั้นก็ดัดแปลงมันใหม่ บิดตรงนี้ตรงนั้น นี่คือเหตุผลว่า ทำไมจึงมีเรื่องใหญ่จริงๆ น้อยมากในโลก แต่ละเรื่องมีเวอร์ชั่นมากมายแตกต่างกัน รวมถึงมีเรื่องที่ย้อนแย้งด้วย
เรายังไม่ได้อยู่ในสังคมเสมอภาคโดยสมบูรณ์ แต่หากคุณคิดดูเกี่ยวกับทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในศตวรรษที่แล้ว นับว่าเหลือเชื่อทีเดียว ถือเป็นหนึ่งในการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เรื่องที่มหัศจรรย์มากขึ้นไปอีกก็คือการปฏิวัติครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นโดยสันติ โดยไม่ต้องใช้กิโยตินหรือกูลัก และพวกเธอก็ไม่จำเป็นต้องลอบสังหารประธานาธิบดีหรือเริ่มสงครามใด แต่พวกเธอก็ยังเปลี่ยนโลกได้
ขอบคุณพี่นุ่นที่ให้ยืมมาอ่านฮะ