สิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงสี่เดือนท้ายของปี 2022 #LearningWithSCK

Parima Spd
3 min readJan 3, 2023

--

Disclaimer: บทความนี้ไม่มีสาระทางวิชาการ หากต้องการ Link ของสิ่งที่มีสาระให้ไถลงไปด้านล่างสุด

ตลอดสี่เดือนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในอีเมลที่มีโดเมนเนม scrum123 คือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ได้รับรู้เรื่องราวใหม่ ตามทันบ้าง ตาลอยบ้าง แต่ที่รู้ๆ คือเขียนบทความที่มีสาระได้เยอะมากจนน่าตกใจ (รวบรวมไว้ที่ตอนท้ายของบทความนี้)

สำหรับใครที่อาจจะตามไม่ทันแล้วว่าตอนนี้เราหาเลี้ยงชีพอยู่แห่งหนใด

ตอนนี้เราอยู่ที่ สยามชำนาญกิจ ในตำแหน่งที่ชื่อว่า Agile Experience Delivery ที่โดนหุง อุ่น ตุ๋น ต้ม นึ่ง ปิ้ง ย่าง เผา ทอด อบ ในหม้อที่น้ำเดือดปุดๆ และเตาเผาที่ไฟเกิน 100 องศาเซลเซียสมาแล้วสี่เดือน (จริงๆ ก็อาจจะสามครึ่ง เพราะหนีไปเดินเขามาด้วย) กำลังจะถูกนำไปเสิร์ฟในท้องตลาด เพื่อช่วยคนที่กำลังมีปัญหาในการจัดการงานด้านการผลิต Software ให้ได้สัมผัสประสบการณ์ของการใช้ Agile, Framework และ Practices ต่างๆ ในบริบทของ SCK ที่น่าจะมีประโยชน์ ซึ่งเราจะไม่ใช้คำว่าดีที่สุดหรือใช่ที่สุด เพราะทุกคนควรมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง

แต่การเรียนรู้ยังไม่สิ้นสุดหรอกนะ เพราะยังมีหลายสิ่งที่ยัง “ตาลอย” อยู่อีกมาก ก็ต้องค่อยๆ สะสมประสบการณ์ เก็บเล็กผสมน้อยกันต่อไป

สำหรับเนื้อหาด้านล่างนี้ อาจจะ Relate ไปที่บทความที่เคยเขียนก่อนหน้าสองอันคือ

  1. เรื่องเล่า 2 สัปดาห์แรก กับการมาเป็นผู้เรียนรู้ใน “สยามชำนาญกิจ”
  2. เรื่องเล่าสัปดาห์ที่สามและสี่ กับการมาเป็นผู้เรียนรู้ใน “สยามชำนาญกิจ”

สิ่งที่ได้เรียนรู้

  1. ได้ความรู้ใหม่เพิ่มเติมเป็นอย่างมาก (ก.​ ล้านตัว) ในเรื่องของ Agile, Scrum, Software Development, Testing (ดูจากจำนวนบทความที่เขียนได้) ระหว่างทางที่เรียนรู้ ก็ได้เอะใจกับสิ่งที่เคยทำพลาดพลั้งในอดีต เช่น mini-waterfall ใน scrum 10 วัน การทำ Release Schedule การจัดการ resource ของทีมที่ทำงานได้จริง รวมถึงหน่วยวัดควรเป็นหน่วยเดียวกัน ยกเลิกการใช้ pts การใช้ User Story + 3Cs แต่ที่ดีกว่าคือ Requirement + Test Scenarios และอื่นๆ อีกมากมาย
  2. การได้ลงมือทำ เขียน Test Scenarios — Test Cases ด้วยเทคนิค Blackbox ทั้ง BVA, EP, State Transition การนั่งเรียนที่ดูเหมือนไม่ยาก แต่พอลองทำโจทย์แล้วเจอทางตันไปต่อไม่ถูกมีอยู่จริง แต่เมื่อเราได้ลงมือทำก่อนพบเฉลย ก็จะทำให้เราจำแม่นขึ้น ได้ระลึกว่ายังพลาดพลั้งหรือหลงลืมในจุดไหน เคสที่เราคิดไม่ถึง อาจเนื่องด้วยประสบการณ์ที่ยังน้อยไป ผิดก็แค่พลาด ก็เรียนรู้กันต่อไป
  3. ทำทุกอย่างออกมาให้เป็น Visual เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพตรงกัน โดยเฉพาะการทำงานแบบ WFH ประชุมผ่านออนไลน์ที่ถือเป็นการทำงานวิถีใหม่ (ที่เป็นปกติแล้วแหละ) ใส่ตัวอย่างให้เห็นภาพตรงกัน ถ้าไม่ชัดก็ต้องเคลียร์ เอ๊ะให้เยอะ ไม่ระบุมาก็ถามได้ ต้องทำให้ทุกอย่างเข้าใจง่าย ค่อยๆ ไปทีละ Step ไปอย่างช้าๆ เท่านั้นไม่พอ หลังจบการประชุมแต่ละครั้ง ขอ feedback จากผู้เข้าร่วมเลยว่า Session นี้ช่วยหรือไม่ช่วยอะไร ได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ ตั้งคำถามอยู่เสมอว่า สิ่งที่จะเอามาใช้ ใช้มันไปเพื่ออะไร ถ้ารู้สึกไม่ช่วยก็ไม่ต้องใช้ นอกจากถามคนอื่นแล้วก็ให้ถามตัวเองด้วย
  4. ประสบการณ์จะทำให้เราโปรขึ้น ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเข้ามา ก็สามารถตอบกลับได้อย่างทันท่วงที (ที่ไม่พาลงคลอง) พอได้ทดลองนำพาผู้คนแบบ Agenda ไม่ชัด รู้เลยว่าต้องใช้ประสบการณ์สูงมาก (ปาดเหงื่อ)
  5. ได้ลองเป็น Facilitator อย่างจริงจัง เช้าเย็นในการตั้งเป้า/รีวิว ก็พบว่าใช้พลังเยอะอยู่เหมือนกัน แต่สนุกดี พอทำหลายๆ ครั้ง ความตื่นกลัวก็จะลดลง ความมั่นใจก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับ feedback จากพี่นุ่นว่า “ได้เรียนรู้การ Facilitate ที่ทำให้คนเข้าร่วมไม่น่าเบื่อจากพริ้ว จาก Meeting ต่างๆ ค่ะ จริงๆ แอบสังเกตตั้งแต่ Session แรกๆ แล้วค่ะ รู้สึกสนุกไม่น่าเบื่อดี น่าจะต้องเรียนรู้จากพริ้วอีกเยอะในส่วนนี้ค่ะ” ใจฟูเลย จริงๆ เราแค่เป็นสายไร้สาระแหละ เงียบก็เปิดเพลง ไม่ได้เป็นฟาแต่เป็นดีเจ 55+
  6. การรู้ว่า Target audience ของเรามี Background, Experience อย่างไร จะช่วยทำให้เราเลือกประเด็นได้ดีขึ้น การเลือกใช้คำที่จะสื่อสาร รวมถึง Pace ในการนำพา ซึ่งแน่นอนว่าถ้า Agenda และ Goal ของ Meeting ชัด ก็จะประชุมกัน Effective มากขึ้น
  7. เราไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง ไม่รู้ก็คือไม่รู้ แล้วหาคนช่วย ปลดล็อคความคิดนี้ได้เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 65 (หลังจากที่เฟลต่อเนื่องมาสามเดือน) จนต้องโพสต์ Facebook เก็บไว้ แต่ก็ขอเอามาเก็บใน Blog นี้ด้วย

สิ่งที่ปลดล็อควันนี้ คือ การยอมรับว่าตัวเองไม่รู้อะไรอย่างเปิดเผย

การพยายามบีบคั้นตัวเองให้ต้องตอบได้ ตอบถูก พยายามดันตัวเองให้เทียบเท่ากับคนที่มีประสบการณ์มามากกว่า 10 ปี มันเหนื่อยมาก

แล้วก็พาล ‘กลัว’ ไม่กล้าจะบอกอะไรออกไป เพราะกลัวจะพูดสิ่งที่ไม่ใช่ กลัวที่จะผิด

เมื่อยอมรับได้ว่า ฉันไม่รู้ในสิ่งนี้ ผิดก็คือผิด ไม่รู้ก็แค่ถามคนที่มีประสบการณ์มากกว่า

ชีวิตก็เบาขึ้น

สิ่งไหนที่ทำได้ดีอยู่แล้ว ก็ทำให้ดีขึ้น

สิ่งไหนที่ยังทำไม่ได้ ยังไม่ดี ก็แค่ต้องเรียน ฝึกต่อไป

ปรับให้ดีขึ้นทีละนิดละหน่อย

ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว เหนื่อยก็พัก แล้วก็ค่อยเดินต่อ

(ภาพตอนเดินขึ้นเขา 5 ก้าว แล้วต้องหยุดหายใจก็มา)

มีคนเคยบอกว่าความเป็น Perfectionist อาจจะทำให้เราเครียดตายได้ สิ่งที่คิดได้วันนี้อาจจะเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ดี

สิ่งที่ต้องเปลี่ยน

  1. ในฐานะโค้ช (จริงๆ ไม่ชอบใช้คำนี้เท่าไหร่ แต่ยังหาคำอื่นมาแทนไม่ได้ เลยเขียนคำนี้ไปก่อน) การ Update สถานการณ์ให้ผู้บริหารฟัง มันไม่ใช่ status report อย่างที่ PM (Project Manager) ทำมาจนเคยชิน มันต้อง beyond ไปกว่านั้นด้วยการเสนอ insight โดยเฉพาะ “ปัญหา” ที่มันอาจจะอยู่ลึกไปใต้พื้นหลายเมตร ก็ต้องลากมันขึ้นมาอยู่บนที่แจ้งให้ได้ เมื่อลากขึ้นมาแล้วก็ต้อง provide solution ที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วย ซึ่งบางปัญหาอาจต้องการการช่วยเหลือจากเหล่าผู้บริหาร ตลอดการทำงานที่ผ่านมา (จากหลายๆ ที่) พบว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการ transformation ขององค์กรใดๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็คือ People ซึ่ง “ทักษะ” ของคนในทุกๆ Role เป็นเรื่องสำคัญ ต่อให้เปลี่ยน Process แล้ว แต่ถ้า “คน” ไม่ไปด้วย องค์กรก็เดินหน้าต่อลำบาก
  2. หากไม่ใช่ผู้ Lead Meeting เราก็ต้องทำตัวเป็น Observer ไม่ใช่แค่ Attendee นอกจากสาระที่ได้จากการประชุม (ที่ปกติทำ MOM) ต้องอัพเลเวลไปอีกขั้นด้วยการสังเกตผู้คน (ผ่านออนไลน์นี่แหละ) สิ่งที่พวกเขาพูด และสิ่งที่ไม่ได้พูด (ซึ่งยากมาก ก. ล้านตัวอีกเช่นกัน) พยายามตั้งสมมติฐาน (มโน) เอาว่าแต่ละคนเป็นคนอย่างไร เป็นผู้เล่นสายโจมตีหรือตั้งรับ ต้องสื่อสารด้วยวิธีการแบบไหนถึงจะเข้าใจกัน
  3. เมื่อใส่หมวก Facilitator แล้ว สิ่งที่ต้องมาควบคู่กันคือ ฝึกควบคุมสติ พยายามสยบทุกอารมณ์พุ่งพล่านที่เกิดขึ้น ทั้งของตัวเองและผู้เข้าร่วม (ทั้งที่ปกติตัวเองเป็นคนหัวร้อนติดไฟง่าย) เน้นตั้งคำถาม เพื่อให้ทีมหาทางออก ไม่ใช่สั่งการหรือลงมือจัดการเอง “Facilitate ไม่ใช่ Manage” (ยากมาก ก. ล้านตัวอีกแล้ว ความเคยชินในสายเลือดมันก่อตัวเดือดปุดๆ)
  4. ต้องพูดให้รู้เรื่อง (สำคัญมาก) คือรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการสื่อสารผ่านการพูด รู้สึกมานานหลายปีแล้ว ถ้าเทียบกับการเขียน (หรือจริงๆ แล้วอาจจะมีปัญหาทั้งสองอย่างนั่นแหละ) ถึงแม้จะดูเป็นคนที่มี Step อะไรอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความเป็นคนรีบ ก็อาจจะส่งผลต่อการสื่อสาร บางทีก็อาจจะพูดเร็วไป รัวไป โดดไป จนคนฟังตามไม่ทันและไม่เข้าใจว่าอยากจะบอกอะไร แก้ยากมาก แต่จะพยายาม
  5. ด้วยอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ (ยอมรับสภาพ) สิ่งจำเป็นคือ การรักษาสุขภาพกายใจของตัวเองให้อยู่ในสภาวะปกติ จะมาใช้ร่างหนัก นอนน้อย ไม่ออกกำลังไม่ได้ ถ้ามีอะไรป่วยแม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ชีวิตก็จะไม่ stable ความคิด การพูดจาก็จะเริ่มประหลาด การ detect ตัวเองได้เร็วและรักษาตัวก่อนที่อะไรจะแย่เกินไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ
  6. เป็นมนุษย์สาย perfectionist ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ตลอดสามเดือนกว่าๆ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็บอกเล่ากับพี่หนุ่มประธานไปตรงๆ ว่า self-esteem ของตัวเองตกลงเรื่อยๆ รู้สึกไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง กลัวผิด กลัวไม่ใช่ กลัวทำพลาด เพราะการตั้งเป้าหมายที่จะเทียบชั้นพี่เค้าด้วยทักษะและประสบการณ์ของตัวเราเองที่ไปไม่ถึงซักที มันก็เฟลและดิ่งลงไปเรื่อยๆ ซึ่งพี่หนุ่มก็ส่งประโยคปลอบใจมาว่า “ให้ไปเทียบกับตัวพริ้วเองเมื่อวานนี้แทน ให้ตัวเราเองดีขึ้นกว่าเมื่อวานยังไง เทียบแบบนี้เลยนะ” เปลี่ยนอะไรก็ไม่ยากเท่ากับการเปลี่ยนความคิดตัวเอง แต่คนเราเปลี่ยนกันได้ แค่ต้องใช้เวลา (ให้กำลังใจตัวเองก่อน)
  7. สมัยเป็น PM เด็กน้อยเราจะยึดถือ Timeline ประหนึ่งพระคัมภีร์ ที่เมื่อสร้างขึ้นมาแล้วจะยึดติด แตะต้องไม่ได้ การเปลี่ยนอะไรทีอาจจะก่อให้เกิดความตึงเครียด เหมือนโลกจะแตกสลาย แต่เมื่อโลกมันมีวิวัฒนาการของมัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกๆ วัน หรือแม้แต่ตัวเราเองที่เติบโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ว่า เรา Plan เพื่อ Replan การมีแพลนช่วยให้เราเดินทางไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ถ้ามันมีเหตุไม่คาดฝัน เราก็ต้อง Adjust มัน (ให้สมกับวิถีความเป็น Agile) คนเรามักประมาณการในแง่ดีเสมอ เรามองโลกในแง่ดีกันเกินไป แต่พอ Review กันทุกวัน ก็จะเห็นความจริงมากขึ้น หาทางปรับให้ดีขึ้น ทุกคนในทีมเริ่มปรับจูนหาวิธีการทำงานที่ Work ขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวัน หาวิธีแก้ไขปัญหา ทดลองใช้วิธีใหม่ในวันรุ่งขึ้น สิ่งไหนไม่จำเป็นก็เลิกทำ ลดการใช้เวลาที่เสียเปล่า พอมีกรอบเวลาทำงานที่ชัด ตั้งแผนกันทุกวัน เราก็จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ควรโฟกัส ก็ตอบโจทย์ Plan-Do-Check-Act แบบไม่รู้ตัว

เราไม่มีทางรู้หรอกว่า สุดท้ายแล้วชีวิตเราจะไปสิ้นสุดลงที่จุดไหน แต่การออกเดินทางก็ทำให้เราได้พบเจอเรื่องใหม่ๆ เราอาจจะไปไม่ถึงปลายทางแรกที่เราเคยคาดหวังไว้ด้วยซ้ำ การผิดหวังก็เป็นเรื่องปกติของชีวิตเหมือนกัน ก็เหมือนกับการเดินเขา (แอบ tie-in Blog: Mardi Himal ตรงนี้) อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ได้รู้ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น หาทางป้องกันหรือแก้ไขเพื่อที่ในอนาคตจะได้ไม่พลาดอีก และสิ่งเหล่านั้นก็หล่อหลอมก่อให้เกิดเป็นเราในเวอร์ชันใหม่ที่ดีกว่าเดิม

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังก้าวเดิน :)

[ช่วงขายของ หาคนมาช่วยทำงาน] ปี พ.ศ. 2566 นี้ เราเปิดรับอีก 4 ตำแหน่ง ตำแหน่งละ 2 คน

สำหรับท่านใดที่สนใจ ส่งอีเมลไปหาพี่หนุ่มได้ที่ prathan@scrum123.com หรือ prathan@welovebug.biz

บทความ (สาระการงาน) ที่ได้เขียนในช่วงเดือน ก.ย. — ธ.ค. 2022

  1. ตามไปเรียน Software Testing Strategy
  2. Requirements Engineering ช่วยให้บัคน้อยลงไหม?
  3. Scrum framework ตำราสยามชำนาญกิจ Version 2 สัปดาห์แรกที่ได้มาเรียนรู้
  4. คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “Agile”
  5. Queueing theory — ทฤษฎีการจัดคิว
  6. คลาสติวเข้ม เพื่อเริ่มต้นการเป็นโค้ชในบริบทของสยามชำนาญกิจ ตอนที่หนึ่ง
  7. คลาสติวเข้ม เพื่อเริ่มต้นการเป็นโค้ชในบริบทของสยามชำนาญกิจ ตอนที่สอง
  8. ภารกิจ วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ เป้าหมายและแผนงาน
  9. ฝึกการเขียน Test Cases ด้วย เทคนิค Blackbox ตอนที่หนึ่ง
  10. ฝึกการเขียน Test Cases ด้วย เทคนิค Blackbox ตอนที่สอง & เกริ่นเข้า Test Scenarios
  11. คลาสติวเข้ม เพื่อเริ่มต้นการเป็นโค้ชในบริบทของสยามชำนาญกิจ ตอนที่สาม
  12. Design&Develop Test Scenarios แล้วดำเนินการทดสอบ ดู Expected Result(s) เทียบกับ Actual Result(s)
  13. เล่าเรื่อง Sharing Economy — by พี่พฤทธิ์
  14. คลาสติวเข้ม เพื่อเริ่มต้นการเป็นโค้ชในบริบทของสยามชำนาญกิจ ตอนที่สี่
  15. วิธีการเปลี่ยนตัวอักษรเป็น Diagram แบบ State Transition
  16. คลาสติวเข้ม เพื่อเริ่มต้นการเป็นโค้ชในบริบทของสยามชำนาญกิจ ตอนที่ห้า
  17. ร้อยเรียง Test Scenarios ด้วยการเข้าใจ Business Process และใส่ตัวอย่างให้เห็นภาพตรงกัน
  18. คลาสติวเข้ม เพื่อเริ่มต้นการเป็นโค้ชในบริบทของสยามชำนาญกิจ ตอนที่หก
  19. รวมถึงมีหนังสือภาษาอังกฤษที่ได้รับ Assign มาให้อ่าน 4 เล่ม แต่อ่าน The Nature of Software Development จบไปแค่หนึ่งเล่ม ด้าน Agile Coaching อ่านไปได้ 78% ส่วนอีกสองเล่มที่เหลือเอาหลัก “หน่วย” % ไปพอ กดไปดูต่อได้ที่ รวมหนังสือที่ #priwreadbooks ได้อ่านในปี 2020/2021/2022

--

--

Parima Spd
Parima Spd

Written by Parima Spd

I enjoy reading and writing. Continue to learn and try new things to improve. Before you die, explore this world.

No responses yet